วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ใจลอย


โอ้ดวงใจ ไหลไป ไกลพิภพ

ไม่บรรจบ ครบลง ตรงถูกที่

ลิ่วละลอง ฟ่องลองไป ในนที

เลือนเร็วรี่ ดังนี้ ทำเช่นไร

เจ้าดวงเอ๋ย ดวงใจ ที่ใกล้ขาด

เพราะคนึง ถึงชาติก่อน ตอนหนไหน

คราวที่อยู่ เคียงเจ้า เราสุขใจ

สุดอาลัย ไหลริน กลิ่นน้ำตา

เรือน้อยที่ไม่เคยเห็นฝั่ง


เมื่อเรือลำน้อยลอยละล่อง

ร่วมประคองกับผู้พายเป็นเพียงหนึ่ง

ล่องลอยลำไม่อ่อนล้าน่ารำพึง

หวนคิดถึงฟากฝังยังห่างไกล

ยิ่งลอยนานเหมือนคลานช้ายิ่งพาฟุ้ง

เหม่อมองรู้งพาดโค้งฟ้าโล้งไหล

ตัวที่พายห่างหายจากดวงใจ

สุดอาลัยไกลฝั่งดูวังเวง

แม้เงียบงันเงียบเหงาเคล้าเงียบงุด

ยิ่งเศร้าสุดโหยหาพาโหลงเหลง

เปลี่ยนทุกข์โศรกโลกหล้ามาเป็นเพลง

ร่วมบรรเลงกล่อมตนให้ทนไป

เวลา


ยามเย็นเห็นฟ้าทออุ่น
อบไอกรุ่นกลิ่นพฤกษา
เจ้าเอ๋ยเจ้ากาลเวลา
ได้คราจากกันพลันทันที
เปลี่ยนผันแปรกลับ
ลึกลับจับไม่ได้เดี๋ยวนี้
ผ่านพบไม่พัวพันนั้นดี
กาลเวลานั้นสิที่แน่จริง

ตามทางภูเขา




ฉันเดินไปตามไหล่เขาในคราวหนึ่ง
ไร้ที่พึ่งที่พิงที่อิงแอบ
ยามฝนสาดซัดคะนองร้องปราบแปรบ
ไม่มีหลักไว้กอดแนบกับตัวเอง
พื้นก็ฉ่ำผาก็เปียกเรียกว่าแฉะ
ทั้งมือและเท้าก็เปรอะเลอะฉิบเป๋ง
แม้ไม่กลัวแต่ก็หวั่นพรั่นกลัวเกรง
เป็นบทเพลงประลองจิตใจตน
ฟ้าซัดสาดพัดสายฝนมาคร้ามดิน
ธรณินลื่นไถลตามปลายฝน
นับประสาอะไรกับกายคน
ย่อมร่วงหล่นปนเปื้อนเกลื่อนโคลนดำ
ฟ้ารองครืนกายก็โคลงโผล่งตามเสียง
ค่อยลำเลียงร่างกายคล้ายขันขำ
หากร่างหล่นคงไม่พ้นกฎแห่งกรรม
ก็คงพร่ำพรรณนาเรื่องชีวิน
แล้วล้มกลิ้งหมุนงุนงงแกมสงสัย
เหตุไฉนลื่นไถลไปชนหิน
แผลถลอกปอกเปลือกเกลื่อนเฉือนติดดิน
โลหิตรินปาดแดงเปื้อนตามเรือนกาย
สลบไปนานเท่าไรก็ได้ตื่น
ฟื้นในคูน้ำเจิ่งนองล่องเป็นสาย
ได้สติดำริดูรู้อันตราย
ด้วยเพราะกายไม่ขยับเขยื้อนตน
น้ำตารินร่วงไหลเป็นสายทาง
ตาก็ฝ้าฟุ้งฟางมิรู้หน
รันทดทรวงดวงคงสิ้นกลิ่นอายคน
ถึงอับจนตรมแล้วมิแคล้วตัว
ได้แต่เฝ้าพร่ำสวดมนต์จนสุดเสียง
สรรพสำเนียงเสียงใสเข้าในหัว
ท่องพุทโธกล่อมใจไม่ให้กลัว
ให้มืดมัวแห่งใจไร้มลทิน
นานเท่าไรไม่ได้นับเพราะหลับลึก
มิได้ตรึกได้ตรองสมองสิ้น
รู้สึกตัวอีกครั้งคล้ายโบยบิน
ไม่มีกลิ่นไร้รูปรสไม่มีใคร
ในความว่างร่างใดไม่ปรากฏ
ไม่พบแม้มดปลวกพวกไฉน
ไม่มีรูปไม่มีกลิ่นไม่มีอะไร
รู้แต่เพียงจิตใจไม่ลางเลือน
นี่นะหรือที่เขาเรียกว่าความดับ
ไม่มีกัปป์ไม่มีห้วงไม่มีเหมือน
ไม่มีบอกไม่มีกล่าวไม่มีเตือน
ไม่บิดเบือนทุกคนเป็นเช่นนี้นา
ฉันเดินไปตามไหล่เขาในคราวหนึ่ง
ฝนก็จึงพรมพัดซัดสาดหนา
พลัดตกเหวลงไปในธารา
ดับกายาพาใจน้อมนัยธรรม

รำพึง


สายฝนกระจายเม็ดปูพรมร่วงหล่นจากบรรยากาศลงผ่านเวิ้งฟ้าที่มีพื้นที่อนันตภาวะ ไหลผ่านยอดไม้ ยอดหญ้า จรดลงสู่แผ่นพื้นพิภพ...
ห้วงเพลาที่ดวงตะวันคล้อยเคลื่อนไปสู่ทางตะวันตก แทนที่เจ้าแห่งทิวาสาดแสงแสดอบอุ่น กลับแทนที่ด้วยการพัดปลิวกระหน่ำของแรงลม สายหยาดหยดของเม็ดน้ำซัดโหมแรงระรัว ราวกับจะตีโบยสรรพสิ่งบนพิภพ ให้ครั้นคร้ามในพละของกำลังตน เสียงครืนๆประกาศกึ่งก้องทั่วทั้งบรรณพิภพ ตระโกนกร้าวด้วยเสียงอันสนั่น แผดลำแสงนำสุรเสียงอย่างดุดันดิบเถื่อน บังเกิดความสว่างวาบเหมือนเมื่อครั้งยังคงเป็นเช่นทิวาอยู่เป็นระยะ แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแต่ครั้งบรรพกาลที่ความสั่นสะเทือนอันทรงพลังแหวกห้วงอวกาศ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นประดุจการตอบรับการสื่อสารจากมนุษย์สู่เทพเจ้า หรือแม้กระทั่งล่วงมาถึงวันที่วิทยาศาสตร์ดารดาษกราดเกลื่อนเต็มพื้นที่ความเป็นไปในปัจจุบัน ที่รับรู้กันว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของธรรมชาติ แต่เราก็มิสามารถปฏิเสธได้อย่างเต็มรูปเต็มคำเลยว่า จะมีผู้หนึ่งผู้ใดที่มิยำเกรงแสงสีเสียงแห่งพลังธรรมชาตินั้น ถึงอย่างไรก็ตาม มีคนอีกหลายกลุ่มก้อนเหมือนกัน ที่ลืมตัว คิดว่าตนนั้นยิ่งใหญ่นอกเหนืออำนาจธรรมชาติ
ยามใดที่ผืนฟ้าถูกครอบคลุมด้วยความมืดมัวของลมพายุ แสงแห่งสุริยาแม้แกร่งกล้าเพียงใดก็ย่อมยากที่จะลอดสอดแทรกลงมาสู่เบื้องล่างได้ อย่าได้หวังจะพบกับความชัดเจนทางทัศนียภาพ เพราะย่อมเต็มไปด้วยหมอกมัวมืดมนปราศจากแสง หากจะสรรหามาอธิบายกันเข้าใจง่ายๆก็คงต้องเรียกว่าเวลาที่คลื่นแห่งความสลัวไม่แน่นอนย่ำกลายเข้ามาในผืนนภาแห่งจิตใจ แสงสว่างแห่งความหวังใดๆย่อมไม่มี นี่คือกฎแห่งธรรมชาติ ที่ทดสอบความอดทนกับสรรพชีวิต ใช่หรือไม่ เพราะโดยเนื้อแท้ชีวิตมักพบกับความปราชัยและไม่สมหวัง...
หรือ คลื่นลม เม็ดฝน แสงแปรบๆ และเสียงคำรามของเวิ้งฟ้า จะบังเกิดขึ้นมาเพียงแค่หัวร่อ เย้ยหยันความขลาดเขลาของมนุษย์...
สังเกตในภาพยนตร์มากมายหลากหลายแนว มักพบว่าเมื่อปรากฏฉากตอนเกี่ยวกับความผิดหวังในรักระหว่างชายหนุ่มหญิงสาว จะมีภาพสถานการณ์ผิดปกติของฟ้าฝน ปรากฏอยู่ในรูปของเมฆครึ้มฝนโปรย ทำให้เกิดเป็นบรรยากาศที่เร่งเร้าอารมณ์ ให้ดูแล้วส่งทอดความสะเทือนของอารมณ์เข้าไปสู่พื้นที่ว่างภายในของผู้เสพ หรือเรื่องราวคนตกงานไม่สมหวังในชีวิต ผู้ที่ได้รับผลกระทบของความทุกข์ทั้งปวง ก็มักมีการเชื่อมโยงกับความเป็นไปของฟ้าดิน...
ในผลงานจิตรกรรมตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะตะวันออกหรือตะวันตก ล้วนโยงใยกับความเป็นไปของฟ้าฝน โดยมีมายาคติ ที่สื่อแทนความผิดหวัง ความเศร้า อารมณ์หดหู่ อารมณ์ในภาพลบต่างๆนานา
เรื่องราวของฝน พร่ำพรมพรรณนาอยู่บนผืนแผ่นกระดาษ ปรากฏแทรกอยู่ระหว่างตัวอักษร ที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวเรียกกันในสมมุติสัจจะว่า วรรณกรรม เรื่องราวของอารมณ์และความเป็นไปของมนุษย์แต่ละเรื่องๆ ก็มักจะถูกแทนความหมาย อุปมาอุปไมย เกี่ยวเนื่องกับฟ้าฝนอยู่เสมอๆ
หรือที่จริงแล้วสถานภาพปรากฏการณ์ความเป็นไปของผืนฟ้า มีมายาคติในอารมณ์ของปัจเจกบุคคลร่วมอยู่ด้วย
หลายวันที่ผ่านมา พื้นที่ในพิภพที่ผมอาศัยพักพิงอยู่นั้น เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น ฝนตก สายลม สายฝน พายุ ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ บางทีก็พาลนึกคิดจินตนาการเอาเองอย่างเงียบๆว่า ฝนตกทุกวันจนเกือบจะเป็นเสมือนมิตรสหายคนสนิท ที่มักพบเห็นกันทุกห้วงเพลาที่ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบตึก ถ้าจะว่าข้อดีก็คือเพลาล่วงเริ่มเข้าสู่ภวังค์นิทราความเย็นชุ่มฉ่ำบังเกิดรอบกาย ห้วงหนึ่งของความรู้สึกก็สงบและสบาย เหมาะสำหรับซุกกายอันอ่อนล้าเข้าไปอยู่ภายใต้การปกคลุมอันอบอุ่นของผ้านวมหนานิ่ม
แต่หลายครั้งก็ดูจะโหดร้ายไปไม่น้อย เพราะความไม่สะดวกของกิจธุระประจำจำวัน การซักทำความสะอาดเสื้อผ้า การเดินทางคมนาคม การใส่สวมเครื่องแต่งกาย ก็ล้วนต้องปรับเปลี่ยนให้ผสานสอดคล้องกันไปกับสภาพภูมิอากาศในแต่ละช่วง ยิ่งไปกว่านั้นหากฟากฟ้าไม่เป็นไปตามคาด ย่อมตามมาด้วยความเปียกปอนอันเกิดจากน้ำตาของฟากฟ้าสะอื้นไห้ ทั้งร่างกายเสื้อผ้าก็เปียกชุ่ม ฉ่ำแฉะ ไปด้วยน้ำฝนที่เกาะอยู่รอบกาย ไม่นับพื้นที่ความรู้สึกภายใน ที่เปียกซึมหนาวเย็นราวกับถูกขังอยู่ในห้องดับจิตของโรงพยาบาลร้าง ที่หลงเหลือเพียงความวังเวงเท่านั้นที่เป็นเพื่อน
ห้วงยามที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจกับเจ้าสุริยะ เสียงร้องคำรามดูราวกับสัญญาณเตือนถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป สิ่งที่ทำได้ควรมองหาที่พักพิงหลบสายฝนที่พร้อมจะกระหน่ำลงมา หลบหนีความเปียกชื้นพาลจะพาลให้ล้มป่วยทรมานด้วยพิษไข้ ไม่นับน้ำแข็งที่ร่วงลิ่วลงมาเป็นลูกเห็บที่พร้อมจะกระซวกหัวกบาลให้แตกกระจายปรากฏน้ำอุ่นแดงเค็มหลั่งไหลอาบทั้งหัวเป็นอย่างน้อย
ช่วงหลายวันมานี้ ส่วนผมเองก็หมกตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆบนผืนกำแพงข้างประตูเพื่อรับรู้โลกภายนอกบ้าง นั่งมองสายฝนที่ตกลงลงมาอย่างต่อเนื่อง แรงขึ้นเรื่อยๆ และมืดลงเรื่อยๆ... ผมทำได้แค่นั่งซึมอยู่เพียงลำพังด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก ความรับรู้และความคิดต่างๆเริ่มผุดพรายเข้ามาเยือนอีกครั้ง ว่ากันว่า ในห้วงยามที่เราอยู่เพียงลำพังบาดแผลของชีวิตมักผุดขึ้นมาทำร้ายเราด้วยความรู้สึก แม้ว่าผมมิได้มีชะตากรรมที่เศร้าหมองอะไร แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้กับความซึมลึกที่บอกไม่ถูก พอพลั้งเผลอเหม่อลอย จิตใจก็ล่องลอยพาไปสู่ที่สถานการณ์เก่าๆในความรู้สึก ยิ่งความรู้สึกผิดหวัง ความรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยก ล้วนแล้วแต่เข้ามารบกวนใจให้เศร้าหมอง
...หรือความเป็นไปของฟ้าดินมีความเป็นไปของปัจเจกบุคคลร่วมด้วย...

What is Art ?


“What is Art” is a difficult topic to explain, understand and learn. If someone asks me about this question, I will be stressed to answer because art never explain as we sea real object, maybe we can not understand but we can feel.

Art is everything which human creates, art makes civilizations, Greek, Roman, Egypt, Mesopotamia, Mohenchodaro and Angkor

I think that art is everything which human create for spiritual value, goodness, beauty and imagination. Art also develops human that leads spirit to human civilization which is hard to explain. I am an artist; I never explain art like object. When I create art, my mind world go beyond the world of reality no one can come into my world, it is the world with of feelings, and in this world of mine there are meditation, happiness and peace. And sometimes it is like the best friend who can be angry, cry and comfort.

However, Art brings us to a fine life; if you feel lonely, art is a friend; if you cry, art is something comforting; if you love, art is a rose for your love; if you get bored, art is an excitement art can be anything.

Finally, what you are, art is you.

จุดหมาย ปลายทาง ในบางห้วงยาม




...ค่ำคืนนี้ ท้องฟ้าปิดมืดทึบ ลมแน่นิ่ง อบอ้าวและเงียบ...
ในยามเงียบสงบห้วงหนึ่งของค่ำคืนที่เปลี่ยวเปล่า ผมก็พลันตื่นขึ้นพร้อมกับอาการกระสับกระส่าย ด้วยความอ้าวอบ ร้อนผ่าว ของบรรยากาศทั้งภายในห้องตลอดจนภายนอก ฟูกที่นอนนุ่นเก่าๆเปียกซึมด้วยรอยเหงื่อและคราบไคล แม้ว่าเสียงใบพัดของพัดลมขนาดตั้งโต๊ะตัวเก่าหมุนหึ่งๆตลอด ก็ทำให้รู้ได้ว่ามันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ก็มิอาจบรรเทาความร้อนที่แทรกทุกอณูของอากาศได้ ไม่น่าเชื่อว่ากลางดึกที่น่าจะมีบรรยากาศที่เย็นเยียบ กลับกลายเป็นร้อนอบ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติที่จะอยู่เฉยได้...
การป่ายปีนเขาของนักผจญภัยแต่ละครั้งๆ ต้องบุกฝ่า ผ่านพบความยากลำบาก อุปสรรคมากมายเกิดผุดพรายคล้ายเป็นเครื่องทดสอบร่างกาย จิตใจ ในเรื่องกำลังกายนั้น แขนขามือสมองดูแลปรนเปรอได้ด้วยอาหาร แม้ไม่สิ้นซึ่งลมหายใจ ก็คงจะพอเก็บหามาได้บ้าง หากแต่เพียงแค่นั้น ก็มิอาจจะนำพาไปถึงจุดหมายปลายทางได้ หากขาดกำลังของหัวใจ คงลำบากถ้าคิดจะก้าวเดินต่อ ...แต่อาหารของจิตใจเล่า จะหาได้จากแห่งใดในพิภพ
ทุกครั้งที่ก้าวพลาด...เราล้ม ทุกครั้งที่ก้าวเผลอ...เราก็ล้ม หลายครั้งที่หมดซึ่งกำลังกาย...เราฟุบ หัวเข่าถลอก แตก เลือดอาบสองแข้ง ไม้เสียบแทงทั้งสองขา มือหัก ศอกหลุด หัวแตก ... เราบรรเทารักษาได้ ด้วยการพยาบาล
ทุกคราวที่ท้อถอย ลังเล ห่อเหี่ยว เสียใจ สงสัย รำคาญ หมดกำลังใจ เพราะยังไม่เห็นอีกฟากฝั่งปลายทาง ... เราจะทำอย่างไร
การปีนเขานอกจากมีกำลังกายที่แข็งแรงแล้ว ขนาดของหัวใจย่อมไม่ธรรมดา
บางคนมองการปีนเขาแค่การไปสู่จุดยอด แล้วปักธงถ่ายรูปเป็นประจักษ์ว่าตนได้มาถึงจุดที่สูงที่สุด ใช่หรือไม่ว่าแท้จริงเหล่านี้เป็นเพียงการกระทำเพื่อบดบังความต่ำต้อยในตน มิให้พ่ายต่อธรรมชาติ นี่คือปมดอยของคน มิใช่มนุษย์
มีมนุษย์อีกบางจำพวกเห็นการปีนเขา เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจตน มิใช่ทดสอบกำลังกาย ทุกก้าวที่ย่าง ทุกทางที่ปีน ทุกถิ่นที่เหยียบ ล้วนเต็มไปด้วยสติปัญญา จุดหมายเล่า... มิใช่ยอดเขา!
หากแต่จุดหมายและปลายทางของพวกเขามิใช่สิ่งเดียวกัน อันว่าปลายทางนั้นหมายความถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทาง แต่กับจุดหมายคือจุดประสงค์แห่งการเดินทาง
ใช่หรือไม่ ความตั้งใจมั่น ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ ความอดทน ความเพียรไม่ระย่อ ความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันตลอดจนมิตรภาพระหว่างผู้ร่วมทาง ความเป็นไประหว่างทาง ทิวทัศน์ที่งดงาม การเคารพต่อธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ทั้งหลายที่กล่าวมาเป็นปัจจัยนำพาใจน้อมนำสู่ไตรลักษณ์ สรรพสิ่งแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง ไม่มีความยึดถือกรรมสิทธิ์ใดๆ แน่นอน..ใจของเราจะเบาสบาย นั้นคือจุดหมายที่แท้จริง และ ทรงคุณค่ายิ่ง
“มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐได้ด้วยการฝึก” (พุทธพจน์)
การเดินทาง ผจญภัย ปีนเขาแห่งชะตาชีวิต ผู้ที่สามารถเรียกตนว่าเป็นมนุษย์นั้น ย่อมมิเพียงแค่มีลมหายใจเข้าออกเพื่อสิ่งเสพเท่านั้น การเสพ ความพึงพอใจในกาม เกียรติยศต่างๆนานา เป็นเพียงสิ่งสมมุติสัจจะที่ได้ตกลงบัญญัติขึ้นระหว่างเผ่าพันธุ์ของตน ความเป็นไปในสังคมปัจจุบัน ประกอบกับค่านิยมใหม่ในเชิงวัตถุนิยม ได้บ่มเพาะวิถีคิดแบบใฝ่ไปในทางที่มุ่งไปสู่ที่ต่ำ จึงกลายเป็นว่า จุดหมายและปลายทางชีวิตของความเป็นคนโดยสมบูรณ์ คือ การมีทรัพย์มาก มีของของเพื่อบริโภคเยอะ สิ่งเสพทางกามบริบูรณ์ ซึ่งความจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? หรือเป็นเพียงการอุปโลกน์ของปมด้อยในตนของตนเองที่พยายามให้ชนหมู่มากยอมรับ ว่าเป็นผู้ที่มีกินมีใช้ มีบารมีครบครัน
เราเดินทางมากันถูกแล้วหรือ...
บาดแผลของชีวิตบางครั้งก็เป็นเสมือนมิตรสหายผู้หวังดีคอยย้ำเตือนเราอยู่เสมอในยามที่พลาดพลั้ง เตือนเราว่าทรัพย์สินที่มีอยู่รอบกาย มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังการหาของแต่ละคนนั้นมิใช่แก่นสาระ มิใช่จะใช้ประโยชน์เป็นเอนกอนันต์แก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด ความจริงในข้อนี้ย่อมกล่อมเกลาความกระด้างที่เต็มไปด้วยอัตตาของจิตที่ด้านหนึ่งก็ซ่อนซึ่งความอ่อนแอในยามที่วิกฤตอุบัติขึ้น ให้มุ่งแสวงหาสู่สภาวะความเป็นจริง เป็นสาระแก่นสาร ตลอดจนตั้งคำถามภายในหุบห้วงความรู้สึกที่สถิตย์อยู่ก้นบึ้งแห่งสันดาน ว่าสารัตถะของจุดหมายที่แท้ของเราคืออะไร ที่ไหนกันแน่คือปลายทางของเรา รวมไปถึงข้อความระหว่างบรรทัดแห่งลมหายใจ ...มีสิ่งใดซ่อนอยู่ในสัจจะข้อนั้น
ในยามความเงียบสงบห้วงหนึ่งของค่ำคืนที่เปลี่ยวดาย ผมลุกขึ้นนั่งด้วยอาการกระสับกระส่าย อากาศรอบตัวร้อนผ่าว ลมแน่นิ่งไร้วี่แววกระพือพัดของม่านสีฟ้าบางเบา ฟูกที่นอนยัดนุ่นเก่าๆเปียกซึมด้วยรอยเหงื่อปนคราบไคล แม้ว่าเสียงใบพัดของพัดลมขนาดตั้งโต๊ะตัวเก่าหมุนหึ่งๆตลอด ทำให้รู้ได้ว่ามันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มความสามารถแล้ว ทว่ามิอาจบรรเทาความร้อนที่แทรกทุกอณูของอากาศได้ ไม่น่าเชื่อว่ากลางดึกที่น่าจะมีบรรยากาศที่เย็นระเยือก กลับร้อนอบอ้าวราวกับยามพระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติที่จะนิ่งเฉยมองผ่านไปได้อย่างธรรมดา ความเป็นไปต่างๆรอบตัวมีนัยยะ คล้ายๆจะบ่งบอกอะไรบางอย่างที่ได้หลงลืมไปในช่วงตกหล่นแห่งชะตากรรมที่หลุดวิ่นไปกับสิ่งไร้สาระ หรือนี่คือรหัสชีวิต เราทำอะไรเป็นแก่นสารบ้าง
จุดเริ่มต้นของผมอยู่ ณ.แห่งหนตำบลใด คงจะหาความทรงจำห้วงนั้นได้ยากเต็มที แต่ที่พอจะรู้ได้บ้าง คือมาตรฐานของตนที่มองจุดมุ่งหมายของชีวิต ว่ามิใช่เงินทองทรัพย์สิน อำนาจ วาสนาใดๆ หากแต่เป็นวิถีที่มุ่งสู่ความภาคภูมิของการเป็นมนุษย์ เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้ามิต้องละอายต่อผืนแผ่นดิน มีความสุขสมบูรณ์ด้วยกำลังของใจที่เต็มไปด้วยธรรม แม้โบสถ์วิหารที่แสนศักดิ์สิทธิ์ใดๆในผืนพิภพ ก็มิอาจเทียบได้กับความศักดิ์สิทธิ์ของใจที่นิ่งสงบไม่สั่นไหว หรือแกว่งสะท้านสะเทือนด้วยปัจจัยภายนอก ใจที่มีวิหารธรรมครอบคลุม เปรียบประดุจอาวุธแห่งทิพย์ หนักดั่งหินผาแน่นดุจพิภพ ทว่าเบาสบายกว่าปลายนุ่น สุกสกาวพร่างพราวราวแก้วเจียระไน...
ความทะมึนเข้มของบรรยากาศทั่วห้องยิ่งดูน่าสะพรึงในยามที่ไม่ได้ยินแม้เสียงลมพัดจากภายนอก แต่กระนั้นก็ตามที ก็ยังคงมีเสียงพัดลมดังเป็นเพื่อนได้บ้าง ผมค่อยๆลุกขึ้นจากที่นอนอย่างช้าๆด้วยอาการระวัง กลัวว่าจะชนสิ่งของรอบข้างที่วางระเกะระกะตามพื้นและโต๊ะ ความมืดมิดรอบตัวทำให้ต้องยิ่งระวัง มือค่อยๆเอื้อมคลำหาสิ่งรอบข้างพยุงตัวมิให้ชนสิ่งใด เมื่อถึงจุดหมาย จึงเอื้อมมือก็คว้าขวดน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ๆ ...นั้นมิใช่น้ำเย็นมีน้ำแข็งลอยประดับเด่นเพิ่มความฉ่ำเย็นที่ดื่มในคราวร้อนทุกครั้งๆความกระหายก็จะมลายไปสิ้น ทว่าผมกลับรู้สึกว่าชุ่มฉ่ำคอเหลือเกิน ดูเหมือนว่าความร้อนรุ่มในกายได้ถูกบำบัดเสียแล้ว ความผ่อนคลายก็เริ่มค่อยๆกลับมากล่อมร่างกาย ทีละน้อยๆ หรือความเย็นของน้ำกับความชุ่มชื่นเย็นฉ่ำในตนมิใช่เรื่องเดียวกัน...
ปลายทางของชีวิตที่หลายต่อหลายคนต้องการและใฝ่ฝันหาย่อมไม่เหมือนกันในทางรูปแบบ และยิ่งไม่คล้ายกันสักนิดในทางปฏิบัติ แต่สุดท้ายก็ต้องให้อะไรบางอย่างบ้างกับผู้แสวงหาในยามที่ก้าวล่วงไปถึงไม่มากก็น้อย ตรงตามประสงค์บ้างไม่ตรงบ้างก็ตามเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล สุดท้ายแล้วปลายทางของสิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่ามนุษย์นั้น แท้ที่จริงก็คือการพัฒนาตนเองไปสู่จุดที่สูงที่สุดแห่งจิตวิญญาณในสากลจักรวาล การมุ่งสู่ความดีงามที่เพริดแพรวด้วยธรรม เป็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างเป็นคนธรรมดาไปสู่การเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ฝึกพัฒนาตนได้ ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมความดี ไม่เบียดเบียนต่อสรรพสิ่งแม้ธรรมชาติก็ตาม ไม่ข้องแวะหรือทำลายทำร้ายกระทั่งทั้งก้อนหินหรือยอดหญ้า ตลอดจนมีหน้าที่เฝ้าดูความเป็นไปของสากลจักรวาลอย่างมีพรหมวิหารธรรม
...ผมค่อยๆลุกขึ้นจากที่นอนมือก็คว้าขวดน้ำขึ้นมาดื่ม หากแต่นั้นมิใช่น้ำเย็นที่ดื่มในคราวร้อนใดๆก็จะมลายหายสิ้นไปซึ่งความกระหาย ทว่าผมกลับรู้สึกว่าชุ่มฉ่ำคอเหลือเกิน หรือความเย็นของน้ำกับความชุ่มชื่นของกายใจมิใช่เรื่องเดียวกัน จุดหมายของการดื่มน้ำนั้นเป็นไปเพื่อดับความร้อนความระหายในกาย ปลายทางหรือผลพวงคือเมื่อดับการกระหายได้ ใจย่อมเป็นสุขสงบผ่อนคลาย
ความร้อนของอากาศในคืนนี้ ทำให้ผมต้องการดื่มน้ำผมต้องระวังในการหาน้ำดื่ม เพราะความมืดได้ห่อหุ้มสภาพแวดล้อมรอบกายราวกับผ้าห่มคลุมจนปิดทึบ หากพลาดเผลอก็จะชนสิ่งของจนตกหล่นเสียหาย เมื่อดื่มน้ำเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ร่างกายผมก็เย็นขึ้น สบายขึ้น ผ่อนคลายขึ้น แม้มิใช่น้ำเย็นก็ตาม กายสุขใจก็สุขสงบ สุดท้ายแล้ว...
รุ่งอรุโณทัยวันใหม่สาดแสงสีทองส่องผ่านม่านบางๆ แสงอุ่นๆพาดตัวตามกำแพงลงสู่พื้นห้อง ผมตื่นด้วยความสดชื่นแจ่มใส ...ใช่หรือไม่นี่คือปลายทางของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกลางดึก..