ฉันเดินไปตามไหล่เขาในคราวหนึ่ง
ไร้ที่พึ่งที่พิงที่อิงแอบ
ยามฝนสาดซัดคะนองร้องปราบแปรบ
ไม่มีหลักไว้กอดแนบกับตัวเอง
พื้นก็ฉ่ำผาก็เปียกเรียกว่าแฉะ
ทั้งมือและเท้าก็เปรอะเลอะฉิบเป๋ง
แม้ไม่กลัวแต่ก็หวั่นพรั่นกลัวเกรง
เป็นบทเพลงประลองจิตใจตน
ฟ้าซัดสาดพัดสายฝนมาคร้ามดิน
ธรณินลื่นไถลตามปลายฝน
นับประสาอะไรกับกายคน
ย่อมร่วงหล่นปนเปื้อนเกลื่อนโคลนดำ
ฟ้ารองครืนกายก็โคลงโผล่งตามเสียง
ค่อยลำเลียงร่างกายคล้ายขันขำ
หากร่างหล่นคงไม่พ้นกฎแห่งกรรม
ก็คงพร่ำพรรณนาเรื่องชีวิน
แล้วล้มกลิ้งหมุนงุนงงแกมสงสัย
เหตุไฉนลื่นไถลไปชนหิน
แผลถลอกปอกเปลือกเกลื่อนเฉือนติดดิน
โลหิตรินปาดแดงเปื้อนตามเรือนกาย
สลบไปนานเท่าไรก็ได้ตื่น
ฟื้นในคูน้ำเจิ่งนองล่องเป็นสาย
ได้สติดำริดูรู้อันตราย
ด้วยเพราะกายไม่ขยับเขยื้อนตน
น้ำตารินร่วงไหลเป็นสายทาง
ตาก็ฝ้าฟุ้งฟางมิรู้หน
รันทดทรวงดวงคงสิ้นกลิ่นอายคน
ถึงอับจนตรมแล้วมิแคล้วตัว
ได้แต่เฝ้าพร่ำสวดมนต์จนสุดเสียง
สรรพสำเนียงเสียงใสเข้าในหัว
ท่องพุทโธกล่อมใจไม่ให้กลัว
ให้มืดมัวแห่งใจไร้มลทิน
นานเท่าไรไม่ได้นับเพราะหลับลึก
มิได้ตรึกได้ตรองสมองสิ้น
รู้สึกตัวอีกครั้งคล้ายโบยบิน
ไม่มีกลิ่นไร้รูปรสไม่มีใคร
ในความว่างร่างใดไม่ปรากฏ
ไม่พบแม้มดปลวกพวกไฉน
ไม่มีรูปไม่มีกลิ่นไม่มีอะไร
รู้แต่เพียงจิตใจไม่ลางเลือน
นี่นะหรือที่เขาเรียกว่าความดับ
ไม่มีกัปป์ไม่มีห้วงไม่มีเหมือน
ไม่มีบอกไม่มีกล่าวไม่มีเตือน
ไม่บิดเบือนทุกคนเป็นเช่นนี้นา
ฉันเดินไปตามไหล่เขาในคราวหนึ่ง
ฝนก็จึงพรมพัดซัดสาดหนา
พลัดตกเหวลงไปในธารา
ดับกายาพาใจน้อมนัยธรรม
ไร้ที่พึ่งที่พิงที่อิงแอบ
ยามฝนสาดซัดคะนองร้องปราบแปรบ
ไม่มีหลักไว้กอดแนบกับตัวเอง
พื้นก็ฉ่ำผาก็เปียกเรียกว่าแฉะ
ทั้งมือและเท้าก็เปรอะเลอะฉิบเป๋ง
แม้ไม่กลัวแต่ก็หวั่นพรั่นกลัวเกรง
เป็นบทเพลงประลองจิตใจตน
ฟ้าซัดสาดพัดสายฝนมาคร้ามดิน
ธรณินลื่นไถลตามปลายฝน
นับประสาอะไรกับกายคน
ย่อมร่วงหล่นปนเปื้อนเกลื่อนโคลนดำ
ฟ้ารองครืนกายก็โคลงโผล่งตามเสียง
ค่อยลำเลียงร่างกายคล้ายขันขำ
หากร่างหล่นคงไม่พ้นกฎแห่งกรรม
ก็คงพร่ำพรรณนาเรื่องชีวิน
แล้วล้มกลิ้งหมุนงุนงงแกมสงสัย
เหตุไฉนลื่นไถลไปชนหิน
แผลถลอกปอกเปลือกเกลื่อนเฉือนติดดิน
โลหิตรินปาดแดงเปื้อนตามเรือนกาย
สลบไปนานเท่าไรก็ได้ตื่น
ฟื้นในคูน้ำเจิ่งนองล่องเป็นสาย
ได้สติดำริดูรู้อันตราย
ด้วยเพราะกายไม่ขยับเขยื้อนตน
น้ำตารินร่วงไหลเป็นสายทาง
ตาก็ฝ้าฟุ้งฟางมิรู้หน
รันทดทรวงดวงคงสิ้นกลิ่นอายคน
ถึงอับจนตรมแล้วมิแคล้วตัว
ได้แต่เฝ้าพร่ำสวดมนต์จนสุดเสียง
สรรพสำเนียงเสียงใสเข้าในหัว
ท่องพุทโธกล่อมใจไม่ให้กลัว
ให้มืดมัวแห่งใจไร้มลทิน
นานเท่าไรไม่ได้นับเพราะหลับลึก
มิได้ตรึกได้ตรองสมองสิ้น
รู้สึกตัวอีกครั้งคล้ายโบยบิน
ไม่มีกลิ่นไร้รูปรสไม่มีใคร
ในความว่างร่างใดไม่ปรากฏ
ไม่พบแม้มดปลวกพวกไฉน
ไม่มีรูปไม่มีกลิ่นไม่มีอะไร
รู้แต่เพียงจิตใจไม่ลางเลือน
นี่นะหรือที่เขาเรียกว่าความดับ
ไม่มีกัปป์ไม่มีห้วงไม่มีเหมือน
ไม่มีบอกไม่มีกล่าวไม่มีเตือน
ไม่บิดเบือนทุกคนเป็นเช่นนี้นา
ฉันเดินไปตามไหล่เขาในคราวหนึ่ง
ฝนก็จึงพรมพัดซัดสาดหนา
พลัดตกเหวลงไปในธารา
ดับกายาพาใจน้อมนัยธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น