วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รำพึง


สายฝนกระจายเม็ดปูพรมร่วงหล่นจากบรรยากาศลงผ่านเวิ้งฟ้าที่มีพื้นที่อนันตภาวะ ไหลผ่านยอดไม้ ยอดหญ้า จรดลงสู่แผ่นพื้นพิภพ...
ห้วงเพลาที่ดวงตะวันคล้อยเคลื่อนไปสู่ทางตะวันตก แทนที่เจ้าแห่งทิวาสาดแสงแสดอบอุ่น กลับแทนที่ด้วยการพัดปลิวกระหน่ำของแรงลม สายหยาดหยดของเม็ดน้ำซัดโหมแรงระรัว ราวกับจะตีโบยสรรพสิ่งบนพิภพ ให้ครั้นคร้ามในพละของกำลังตน เสียงครืนๆประกาศกึ่งก้องทั่วทั้งบรรณพิภพ ตระโกนกร้าวด้วยเสียงอันสนั่น แผดลำแสงนำสุรเสียงอย่างดุดันดิบเถื่อน บังเกิดความสว่างวาบเหมือนเมื่อครั้งยังคงเป็นเช่นทิวาอยู่เป็นระยะ แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแต่ครั้งบรรพกาลที่ความสั่นสะเทือนอันทรงพลังแหวกห้วงอวกาศ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นประดุจการตอบรับการสื่อสารจากมนุษย์สู่เทพเจ้า หรือแม้กระทั่งล่วงมาถึงวันที่วิทยาศาสตร์ดารดาษกราดเกลื่อนเต็มพื้นที่ความเป็นไปในปัจจุบัน ที่รับรู้กันว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของธรรมชาติ แต่เราก็มิสามารถปฏิเสธได้อย่างเต็มรูปเต็มคำเลยว่า จะมีผู้หนึ่งผู้ใดที่มิยำเกรงแสงสีเสียงแห่งพลังธรรมชาตินั้น ถึงอย่างไรก็ตาม มีคนอีกหลายกลุ่มก้อนเหมือนกัน ที่ลืมตัว คิดว่าตนนั้นยิ่งใหญ่นอกเหนืออำนาจธรรมชาติ
ยามใดที่ผืนฟ้าถูกครอบคลุมด้วยความมืดมัวของลมพายุ แสงแห่งสุริยาแม้แกร่งกล้าเพียงใดก็ย่อมยากที่จะลอดสอดแทรกลงมาสู่เบื้องล่างได้ อย่าได้หวังจะพบกับความชัดเจนทางทัศนียภาพ เพราะย่อมเต็มไปด้วยหมอกมัวมืดมนปราศจากแสง หากจะสรรหามาอธิบายกันเข้าใจง่ายๆก็คงต้องเรียกว่าเวลาที่คลื่นแห่งความสลัวไม่แน่นอนย่ำกลายเข้ามาในผืนนภาแห่งจิตใจ แสงสว่างแห่งความหวังใดๆย่อมไม่มี นี่คือกฎแห่งธรรมชาติ ที่ทดสอบความอดทนกับสรรพชีวิต ใช่หรือไม่ เพราะโดยเนื้อแท้ชีวิตมักพบกับความปราชัยและไม่สมหวัง...
หรือ คลื่นลม เม็ดฝน แสงแปรบๆ และเสียงคำรามของเวิ้งฟ้า จะบังเกิดขึ้นมาเพียงแค่หัวร่อ เย้ยหยันความขลาดเขลาของมนุษย์...
สังเกตในภาพยนตร์มากมายหลากหลายแนว มักพบว่าเมื่อปรากฏฉากตอนเกี่ยวกับความผิดหวังในรักระหว่างชายหนุ่มหญิงสาว จะมีภาพสถานการณ์ผิดปกติของฟ้าฝน ปรากฏอยู่ในรูปของเมฆครึ้มฝนโปรย ทำให้เกิดเป็นบรรยากาศที่เร่งเร้าอารมณ์ ให้ดูแล้วส่งทอดความสะเทือนของอารมณ์เข้าไปสู่พื้นที่ว่างภายในของผู้เสพ หรือเรื่องราวคนตกงานไม่สมหวังในชีวิต ผู้ที่ได้รับผลกระทบของความทุกข์ทั้งปวง ก็มักมีการเชื่อมโยงกับความเป็นไปของฟ้าดิน...
ในผลงานจิตรกรรมตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะตะวันออกหรือตะวันตก ล้วนโยงใยกับความเป็นไปของฟ้าฝน โดยมีมายาคติ ที่สื่อแทนความผิดหวัง ความเศร้า อารมณ์หดหู่ อารมณ์ในภาพลบต่างๆนานา
เรื่องราวของฝน พร่ำพรมพรรณนาอยู่บนผืนแผ่นกระดาษ ปรากฏแทรกอยู่ระหว่างตัวอักษร ที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวเรียกกันในสมมุติสัจจะว่า วรรณกรรม เรื่องราวของอารมณ์และความเป็นไปของมนุษย์แต่ละเรื่องๆ ก็มักจะถูกแทนความหมาย อุปมาอุปไมย เกี่ยวเนื่องกับฟ้าฝนอยู่เสมอๆ
หรือที่จริงแล้วสถานภาพปรากฏการณ์ความเป็นไปของผืนฟ้า มีมายาคติในอารมณ์ของปัจเจกบุคคลร่วมอยู่ด้วย
หลายวันที่ผ่านมา พื้นที่ในพิภพที่ผมอาศัยพักพิงอยู่นั้น เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น ฝนตก สายลม สายฝน พายุ ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ บางทีก็พาลนึกคิดจินตนาการเอาเองอย่างเงียบๆว่า ฝนตกทุกวันจนเกือบจะเป็นเสมือนมิตรสหายคนสนิท ที่มักพบเห็นกันทุกห้วงเพลาที่ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบตึก ถ้าจะว่าข้อดีก็คือเพลาล่วงเริ่มเข้าสู่ภวังค์นิทราความเย็นชุ่มฉ่ำบังเกิดรอบกาย ห้วงหนึ่งของความรู้สึกก็สงบและสบาย เหมาะสำหรับซุกกายอันอ่อนล้าเข้าไปอยู่ภายใต้การปกคลุมอันอบอุ่นของผ้านวมหนานิ่ม
แต่หลายครั้งก็ดูจะโหดร้ายไปไม่น้อย เพราะความไม่สะดวกของกิจธุระประจำจำวัน การซักทำความสะอาดเสื้อผ้า การเดินทางคมนาคม การใส่สวมเครื่องแต่งกาย ก็ล้วนต้องปรับเปลี่ยนให้ผสานสอดคล้องกันไปกับสภาพภูมิอากาศในแต่ละช่วง ยิ่งไปกว่านั้นหากฟากฟ้าไม่เป็นไปตามคาด ย่อมตามมาด้วยความเปียกปอนอันเกิดจากน้ำตาของฟากฟ้าสะอื้นไห้ ทั้งร่างกายเสื้อผ้าก็เปียกชุ่ม ฉ่ำแฉะ ไปด้วยน้ำฝนที่เกาะอยู่รอบกาย ไม่นับพื้นที่ความรู้สึกภายใน ที่เปียกซึมหนาวเย็นราวกับถูกขังอยู่ในห้องดับจิตของโรงพยาบาลร้าง ที่หลงเหลือเพียงความวังเวงเท่านั้นที่เป็นเพื่อน
ห้วงยามที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจกับเจ้าสุริยะ เสียงร้องคำรามดูราวกับสัญญาณเตือนถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป สิ่งที่ทำได้ควรมองหาที่พักพิงหลบสายฝนที่พร้อมจะกระหน่ำลงมา หลบหนีความเปียกชื้นพาลจะพาลให้ล้มป่วยทรมานด้วยพิษไข้ ไม่นับน้ำแข็งที่ร่วงลิ่วลงมาเป็นลูกเห็บที่พร้อมจะกระซวกหัวกบาลให้แตกกระจายปรากฏน้ำอุ่นแดงเค็มหลั่งไหลอาบทั้งหัวเป็นอย่างน้อย
ช่วงหลายวันมานี้ ส่วนผมเองก็หมกตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆบนผืนกำแพงข้างประตูเพื่อรับรู้โลกภายนอกบ้าง นั่งมองสายฝนที่ตกลงลงมาอย่างต่อเนื่อง แรงขึ้นเรื่อยๆ และมืดลงเรื่อยๆ... ผมทำได้แค่นั่งซึมอยู่เพียงลำพังด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก ความรับรู้และความคิดต่างๆเริ่มผุดพรายเข้ามาเยือนอีกครั้ง ว่ากันว่า ในห้วงยามที่เราอยู่เพียงลำพังบาดแผลของชีวิตมักผุดขึ้นมาทำร้ายเราด้วยความรู้สึก แม้ว่าผมมิได้มีชะตากรรมที่เศร้าหมองอะไร แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้กับความซึมลึกที่บอกไม่ถูก พอพลั้งเผลอเหม่อลอย จิตใจก็ล่องลอยพาไปสู่ที่สถานการณ์เก่าๆในความรู้สึก ยิ่งความรู้สึกผิดหวัง ความรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยก ล้วนแล้วแต่เข้ามารบกวนใจให้เศร้าหมอง
...หรือความเป็นไปของฟ้าดินมีความเป็นไปของปัจเจกบุคคลร่วมด้วย...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น