โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ อาจารย์ประจำภาควิชาสื่อดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม (jumpsuri@hotmail.com)
* บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ภาควิชาทฤษฎีศิลป์ตามหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิตเรื่อง “ธงชาติไทยในศิลปะร่วมสมัย”
* บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ภาควิชาทฤษฎีศิลป์ตามหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิตเรื่อง “ธงชาติไทยในศิลปะร่วมสมัย”
การประดิษฐ์ธงชาติไทยหรือธงไตรรงค์ถือเป็นผลงานสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นมรดกจากยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งพระองค์ได้ทรงเป็นผู้มีพระราชดำริในการสร้างรูปแบบและสถาปนาความหมายของธงชาติไทยขึ้น
โดยมีลักษณะทางกายภาพธงชาติไทยมีลักษณะเป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบ่งเป็น 5 แถบ ประกอบไปด้วย 3 สี คือสีแดง
สีขาว และสีน้ำเงิน
ทว่าธงไตรรงค์ในช่วงแรกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชาติที่มีการปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภาพลักษณ์ที่นอกเหนือจากแถบสี
ยังปรากฏเป็นรูปช้างเผือกสีขาวอยู่บนวงกลมกลางผืนพร้อมกับมีคาถาภาษาบาลีประทับไว้
ธงลักษณะดังกล่าวได้ถูกนำไปสวนสนาม
ณ มหานครปารีส
ในโอการเฉลิมฉลองที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้ชนะในมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 วาระดังกล่าวถือว่านานาชาติได้เริ่มรู้จักธงชาติผืนใหม่ที่มาแทนธงช้างเผือนบนพื้นแดงที่เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช
แม้ธงชาติไทยรูปแบบใหม่หรือธงไตรรงค์เกิดขึ้นเพราะเป็นการสร้างสัญลักษณ์ใหม่ของชาติอันเป็นกุศโลบายที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพราะการที่พระองค์นำแนวคิดเรื่องประชาชนในชาติ ศาสนาประจำชาติ
และสถาบันพระมหากษัตริย์บรรจุความหมายไว้ในธงชาตินั้น
ถือเป็นการสร้างสัญลักษณ์ที่ไม่เพียงจะแสดงออกถึงพระองค์เองเท่านั้น
หากแต่ยังรวมบริบทอื่น ๆ ให้มีความหมายพิเศษจนถือสถาบันหลักด้วย ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นการสร้างสำนึกความรักชาติที่โดดเด่นในสมัยของพระองค์
นั้นคือความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักทั้งสาม คือความเป็นชาติไทย
พระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
และความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ หรืออาจจะกล่าวได้ว่า
พระองค์ต้องการการแสดงความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยการนำมายาคติของความเป็นชาติ
และความเชื่อความศรัทธาทางศาสนามาเป็นตัวเชื่อมไปสู่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงนั้นคือ
ความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์นั่นเอง
ธงไตรรงค์ผืนแรก
ที่มา : Chaopraya news, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่6) [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ
20 พฤศจิกายน 2554. เข้าถึงได้จาก
http://www.chaoprayanews.com/
wp-content/uploads/2009/03/432-20060530175223.jpg
ธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการ
นักวิจารณ์การเมือง และนักเขียนรางวัลศรีบูรพา อดีตเลขาธิการ
ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา
ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้ให้ทัศนะในหนังสือ “ชาตินิยมและหลังชาตินิยม”
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์และความเป็นชาติเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
...ร. 6 (ภาพที่ 18)
เป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกที่ใช้อุดมการณ์ชาตินิยมสร้างความเป็นชาติอย่างจริงจัง
ชาติของพระองค์เป็นแบบ aristocratic ในแนววัฒนธรรมสูงแบบวิกตอเรีย...สถาบันพระมหากษัตริย์แต่เพียงอย่างเดียวที่จะมีฐานะเป็นศูนย์กลางของชาติได้...[1]
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา : นุสมล สุขเสริม, สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า
(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, 2529),
31.
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือที่รู้จักกันในนามปากกาว่า
ส. ศิวรักษ์ เป็นนักคิด นักเขียนชั้นแนวหน้าของประเทศไทยได้รับฉายานามว่า
ปัญญาชนสยามได้ให้ทัศนะวิจารณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์และความเป็นชาติเอาไว้ว่า
...ระบบราชาธิปไตยได้ขึ้นถึงจุดสุดยอด
อันเป็นต้นตอของความเสื่อมสลายในรัชกาลที่ 6
ซึ่งทรงนำเอาคติเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มาใช้เป็นอุดมการณ์ของบ้านเมือง
โดยทรงยืมมาจากคติในเรื่อง God King and Country ของอังกฤษ
ดังธงไตรรงค์ ซึ่งโปรดให้นำมาใช้แทนธงช้าง ก็เป็นสัญลักษณ์ของสถาบันทั้งสาม
ซึ่งสรุปรวมอยู่ที่องค์พระราชาธิบดี...[2]
ซึ่งจะเห็นว่าแนวคิดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับเรื่องความเป็นชาติ
ได้กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกันอย่างมาก
จนความเกี่ยวพันดังกล่าวก็ได้บรรจุลงในภาพลักษณ์ของธงชาติไทย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา : สถาบันพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, จดหมายเหตุพิพิธภัณฑ์พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
(
กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2545),
15.
ในสมัยการปกครองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์จะมีแนวทางที่เสื่อมลง
แต่พระองค์ก็ทรงพยายามรักษาราชประเพณีและธำรงไว้ซึ่งพระราชสัญลักษณ์ต่าง ๆ
เพื่อแสดงถึงการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่บริบูรณ์ เช่น
การดำริสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าและพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เป็นต้น
หรือแม้กระทั่งการธำรงไว้ซึ่งรูปแบบธงชาติไทยแบบไตรรงค์ที่ถือเป็นพระราชมรดกในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ดังนั้นอาจจะ กล่าวได้ว่า
พระองค์ทรงพยายามรักษาคติชาตินิยมในแบบรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มากกว่าชาตินิยมในรูปแบบรัฐสมัยใหม่
คณะราษฎรฝ่ายทหารบก
ที่มา : ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, ปฏิวัติ
2475
(กรุงเทพฯ
: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2547),
25.
แม้ห้วงสมัยตั้งแต่การปฏิวัติสยามเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี
พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร (ภาพที่ 20) จวบจนถึงก่อนการทำรัฐประหารในประเทศไทย
พ.ศ. 2500[3]
นั้น แนวคิดชาตินิยมในสังคมไทยได้ลดบทบาทความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้เนื่องด้วยปัจจัยอันหลากหลาย อาทิ
การขึ้นครองราชย์สมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8
และต่อเนื่องถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
รัชกาลที่ 9 ซึ่งทั้ง 2
พระองค์ยังทรงพระเยาว์ การเกิดภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก
การเข้าร่วมในมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฝักใฝ่การปกครองแบบลัทธิเผด็จการทหาร (Military dictatorship)
ตามแบบอย่างลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism) และลัทธินาซี (Nazism) ของจอมพล ป. พิบูลยสงคราม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ที่มา : กระทรวงกลาโหม,
ฉลองราชย์สดุดี 60 ปี จอมทัพไทย
(กรุงเทพฯ :
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, 2549), 19.
(จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ
60 ปี พ
ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2549).
แต่พอก้าวสู่หลังรัฐประหารในปี
พ.ศ. 2500 รัฐบาลภายใต้อำนาจของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ได้มอบพระราชอำนาจหลายอย่างและให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใหม่
ทำให้เกิดการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะแบบไทยที่ต่างจากระบอบประชาธิปไตยอย่างในโลกสากล
นั้นคือการคืนบทบาทของพระมหากษัตริย์ให้กลับเข้ามาสู่บริบทในสังคม
โดยถือเป็นประมุขแห่งประเทศชาติภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งทำให้รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์เองก็ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นเดียวกัน
ดังที่ สุมาลี พันธุ์ยุรา ได้เรียบเรียงเอาไว้ว่า
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ที่มา : คณะรัฐมนตรี, ประวัติและผลงานของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชน์
(พระนคร : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2507), ไม่ปรากฏเลขหน้า.
(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 17 มีนาคม 2507).
...รัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้สนับสนุนให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับมามีความมั่นคงอีกครั้ง
เพื่อสร้างความถูกต้องชอบธรรมในการเป็นรัฐบาลให้กับกลุ่มการเมืองของตนเองที่มาจากการรัฐประหาร
ซึ่งการสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือรัฐบาลในแง่ของการช่วยส่งเสริมหรือสนับสนุนนโยบายหรือโครงการต่าง
ๆ ของระบบพ่อขุน ตัวอย่างเช่น
การส่งเสริมให้พระมหากษัตริย์มีโอกาสแสดงพระราชดำรัสต่อประชาชนซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมนโยบายของรัฐบาลโดยตรง
เนื่องจากพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ประชาชนได้พาดพิงและเอื้ออำนวยต่อนโยบายต่าง ๆ
ของรัฐบาล เช่น พระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ในพ.ศ.2504
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ในการที่ช่วยส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของชาติ
และทรงขอให้ประชาชนร่วมมือกับรัฐบาลตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่ตั้งไว้...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่ทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ
ที่มา : กระทรวงกลาโหม,
ฉลองราชย์สดุดี 60 ปี จอมทัพไทย
(กรุงเทพฯ :
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, 2549), 19. (จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ
60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2549).
...เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงมีพระบารมีมากขึ้น
รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์น้อยลง ตัวอย่างเช่น
จอมพลสฤษดิ์สนับสนุนให้พระมหากษัตริย์และพระราชินีเสด็จประพาสประเทศต่าง ๆ
ซึ่งทรงกระทำในนามของประชาชนชาวไทย
ส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของชาติอย่างชัดแจ้ง
และส่งผลไปถึงภาพลักษณ์ของจอมพลสฤษดิ์ให้ดูดีขึ้นในสายตาของชาวต่างชาติ การเสด็จประพาสต่างประเทศอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงกระทำในนามของประชาชนชาวไทย
รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ตระหนักว่าการปรากฏพระองค์ต่อชาวต่างชาตินั้น
จะทำให้ต่างชาติวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยว่าเป็นเผด็จการน้อยลง
ด้วยการหันเหความสนใจให้ไปสู่พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์แทน
ประชาชนก็จะได้ลดการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลไปได้นอกจากนี้
การจัดพระราชพิธีและพิธีการสังคมต่าง ๆ
ขึ้นมายังจะช่วยให้ชื่อเสียงของรัฐบาลมีเพิ่มขึ้นในต่างประเทศและช่วยสมานความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างบุคคลในกลุ่มของรัฐบาลและประชาชนให้เกิดขึ้น
เช่น การรื้อฟื้นพระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
พระราชพิธีทอดพระกฐินทางชลมารค
พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค...[4]
การคืนบทบาทและสถานะทางสังคมให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยรัฐบาลภายใต้การปกครองของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์
ทำให้ต่อมาเกิดแนวคิดสำนึกเรื่องชาตินิยมไทยที่เชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์
และเมื่อนำแนวทางการใช้ธงชาติไทยที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น
จะเห็นถึงการสร้างสัญญะเพื่อแสดงความเชื่อมโยงกันระหว่างความเป็นชาติไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
สิ่งที่น่าสังเกตประการหนึ่ง
คือ การประดับธงชาติในวาระแห่งการรับเสด็จพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จฯ พระบรมราชินีนาถ
ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ก็มักเป็นธงชาติขนาดเล็กที่มีคำว่า “ทรงพระเจริญ”
สีขาวปรากฏอยู่บนแถบสีน้ำเงินบนธงชาติไทย
ซึ่งสิ่งนี้เองถือเป็นสิ่งสำคัญในการเชื่อมโยงให้สถาบันพระมหากษัตริย์กับความหมายของธงชาติมีความแนบสนิทกันจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
หรืออาจจะเรียกได้ว่าพระมหากษัตริย์ถือเป็นสถาบันหลักของชาติ
ทั้งนี้เนื่องด้วยการสร้างตัวอักษรลงไปบนผืนธงชาติถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง
แต่สำหรับข้อความ “ทรงพระเจริญ” กลับมิได้นำข้อห้ามนี้มาพิจารณา
ซึ่งทำให้ธงชาติที่ปรากฏคำว่า “ทรงพระเจริญ”
กลายเป็นธงชาติที่มีความหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง
ทำให้ธงชาติลักษณะดังกล่าวกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่มีสัญญะอันเกี่ยวกับแนวคิดพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักของชาติ
ในประเด็นคำว่า “ทรงพระเจริญ” บนผืนธงชาติไทยนี้
นายพฤฒิพล ประชุมผล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย (ธงไตรรงค์) ได้อธิบายบนเว็บไซต์พิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย
(ธงไตรรงค์) เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
...ดังนั้นการเขียนคำว่า
"ทรงพระเจริญ" ลงบนแถบสีธงชาติไทย ... ถ้าจะถามว่าผิดหรือไม่
คำตอบก็คือผิดตาม พ.ร.บ. ธง 2522 มาตรา 53 ข้อ 1 ที่ห้ามขีดเขียนหรือทำเครื่องหมายใด ๆ
ลงบนธงหรือแถบสีธงชาติไทย ... แต่ถ้าพิจารณาจากคำที่เขียนลงไปบนแถบสีธงชาติ ...
ก็สามารถพิสูจน์ได้อย่างกระจ่างแจ้งและมีความหมายชัดเจนในตัวเองว่าเป็นคำที่มีความหมายถึงความปรารถนาดี
ประสงค์ดี ต้องการให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือในหลวงของคนไทยทรงพระเจริญ
เป็นมิ่งขวัญชาวไทยยิ่งยืนนาน ...
ธงชาติขนาดเล็กที่มีคำว่า “ทรงพระเจริญ
ที่มา : อาจารย์ปูดอทคอม, รวมพลังปฏิบัติการ ไทยสามัคคี
ไทยเข้มแข็ง สุราษฎร์ธานี
24 พฤศจิกายน 2552 [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2554.
เข้าถึงได้จาก http://www.arjarnpoo.com/forum/index.php?showtopic=1524
ซึ่งก็คือการสืบสถาพรและดำรงคงไว้ด้วยความเจริญของสถาบันพระมหากษัตริย์
อันเป็นหนึ่งในสามสถาบันตามความหมายที่อยู่บนแถบสีธงไตรรงค์ ธงชาติไทย
... สำหรับผมแล้ว จึงคำมงคลที่เขียนลงบนแถบสีธงชาติไทยเหล่านี้ มิได้บ่งบอกถึงความเสื่อมเสียที่มีต่อสถาบันสูงสุดของประเทศ หรือแม้แต่ทำให้เกิดการเสื่อมเสียต่อธงชาติไทยอย่างใด ... (ผมไม่ได้อธิบายว่าไม่ผิด
คือผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ. ธง 2522 หรือพูดง่าย ๆ ก็คือผิดตามหลักนิติศาสตร์ แต่ผมอธิบายว่า
"ไม่เสื่อมเสียต่อความหมายบนธงชาติไทย"
ตามบรรทัดฐานความคิดของคนในสังคมส่วนรวมตามหลักรัฐศาสตร์)
เช่นเดียวกับการที่มีคนเขียนคำว่า
"รักประเทศไทย" ลงบนผืนธงชาติไทยหรือแถบสีธงชาติไทย ...
แน่นอนว่าย่อมหมายถึงความรักที่คน ๆ
นั้นมีต่อสถาบันชาติหรือตามความหมายของแถบสีแดงบนธงชาติไทย ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี
เป็นมงคล เป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญและยกย่อง ตามบรรทัดฐานความคิดที่ดีของคนในสังคม
ซึ่งเป็นไปตามหลักรัฐศาสตร์
แต่ก็ไปติดเงื่อนไขของหลักนิติศาสตร์ว่าด้วยข้อห้ามขีดเขียนใด ๆ ลงบนธงชาติ
ตามระเบียบ พ.ร.บ. ธง ปีพ.ศ. 2522 นั่นเอง[5]
การประดับธงชาติร่วมกับตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์
และธงพระราชอิสริยยศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ที่มา : ดนัย
จันทร์เจ้าฉาย, เรารักในหลวง
(กรุงเทพฯ : ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์, 2550),
ไม่ปรากฏเลขหน้า.
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ยืนยันถึงแนวคิดพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักของชาติผ่านการใช้ธงชาติไทย
คือ การประดับธงชาติคู่หรือร่วมกับธงพระราชอิสริยยศหรือตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สมเด็จฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์จะต้องไม่ให้ธงชาติอยู่ในระดับต่ำกว่า และต้องมีการจัดวางที่เสมอกัน
ดังนั้นจึงปรากฏการติดตั้งธงชาติคู่กับธงพระราชอิสริยยศของสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เสมอ
ในวาระต่าง ๆ เช่น วาระแห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ หรือ งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เป็นต้น
สิ่งดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีอิทธิพลกับแนวคิดชาตินิยมไทยเป็นอย่างมาก
ประชาชนร่วมงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
ที่มา : กระทรวงกลาโหม,
ฉลองราชย์สดุดี 60 ปี จอมทัพไทย (กรุงเทพฯ :
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, 2549), 114.
(จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ
60 ปี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2549).
โดยสรุปแล้วธงชาติไทยได้ถูกนำไปใช้ในบริบทหนึ่งที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
สังเกตได้จากแถบสีน้ำเงินกลางธงซึ่งมีความหมายถึงพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศ[6]
ซึ่งสิ่งดังกล่าวย่อมนำไปสู่ความหมายของธงชาติที่มีนัยยะไปถึงแนวคิดราชาชาตินิยมสมัยใหม่ของชาติไทย
[3] วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, รัฐประหารในประเทศไทย
พ.ศ. 2500 [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 21 พฤศจิกายน
2554. เข้าถึงได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%
B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2500
[5] พฤฒิพล
ประชุมผล,
การเขียนคำว่า
"ทรงพระเจริญ" บนธงชาติไทย มีความผิดหรือไม่? [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2554.
เข้าถึงได้จาก http://www.t-h-a-i-l-a-n-d.org/thaiflag/newsite/detail.php?id=150
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น