การชุมนุมทางการเมืองภาคประชาชนในประเทศไทยนับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่แสดงถึงสำนึกของประชาชนต่อความเคลื่อนไหวทางการเมือง
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองไทยสมัยใหม่ล้วนผูกพันอยู่กับคำว่า “ประชาธิปไตย”
ราวกับสูตรสำเร็จ
ทว่าในความเป็นจริงการเมืองไทยกลับเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องนับตั้งแต่การปฏิวัติสยามเมื่อ
24 มิถุนายน 2475
การชุมนุมทางการเมืองภาคประชาชนเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงออกทางความคิดทางการเมืองของกลุ่มคนที่มีแนวคิดที่เหมือนกัน
การชุมนุมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่กระทำได้ตามปกติ เช่น
การรวมตัวของประชาชนที่มีทัศนคติที่ตรงกัน การพูดในที่สาธารณะ การแสดงละคร
การร้องเพลง และการเดินขบวนในพื้นที่สาธารณะหรือท้องถนนเพื่อแสดงการประท้วงต่อรัฐ
เป็นต้น กิจกรรมที่เกิดขึ้นในการชุมนุมทางการเมืองที่มีลักษณะต่อต้านอำนาจของรัฐมักเป็นการแสดงออกเพื่อให้กลุ่มผู้เข้าชุมนุมหมดความเชื่อมั่นในความชอบธรรมของรัฐบาลนั้น
ซึ่งการแสดงออกที่เป็นการต่อต้านรัฐบาลล้วนเป็นการสื่อสารที่เน้นการมีส่วนร่วมจากมหาชนมากกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
ศิลปะถือเป็นช่องทางการสื่อสารของศิลปินในการแสดงความคิดเห็นของตัวเองต่อสาธารณชน
ขณะที่บทบาทของศิลปะเพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
“ศิลปะประท้วง” นั้นหมายถึงศิลปะที่เป็นลักษณะที่เป็นการเครื่องไหวทางสังคมการเมือง
(Sociopolitical
Movement) (ลลินธร 2553: 16) เป็นศิลปะที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างศิลปินกับมหาชนเพื่อแสดงทัศนคติทางการเมือง
ฐานะของศิลปะในการวิพากษ์การเมืองจึงมักจะปฏิเสธพื้นที่ตามแบบแผน แต่มุ่งเน้นไปที่พื้นที่ทางเลือก
(Alternative Space) อันเกี่ยวโยงกับกิจกรรมทางการเมืองหรืออาจจะเป็นพื้นที่ที่มีความหมายมากกว่าห้องแสดงภาพ
(Gallery) โดยมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารกับประชาชนทั่วไปด้วยเนื้อหาของผลงานที่ชัดเจนตรงไปตรงมาหรือมีความหมายอันเกิดจากการใช้สัญลักษณ์ที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก
สำหรับศิลปะประเภททัศนศิลป์ในบริบทของการวิพากษ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มเป็นที่โดดเด่นจากการแสดงจิตรกรรมขนาดใหญ่หรือภาพคัตเอาท์การเมืองในปี พ.ศ. 2518 เพื่อรำลึกเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516 โดยกลุ่มแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักร้อง นักดนตรี นักเขียน และศิลปินสาขาทัศนศิลป์
เพื่อทำกิจกรรมทางศิลปะที่ปลอดจากระบบราชการและอิทธิพลทางการเมือง (วิบูลย์ 2548: 344) ภาพคัตเอาท์ขนาดใหญ่ดังกล่าวจัดแสดงบริเวณพื้นที่เกาะกลางตลอดถนนราชดำเนินกลาง
โดยมีเรื่องราวเป็นเรื่องของการต่อสู้ของประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา
กับจักรวรรดินิยม และจอมเผด็จการที่ถูกระบุว่าเป็นสมุนรับใช้ตลอดมา (จันอับ 2518:
5) ส่วนแนวคิดในการสร้างสรรค์นั้นเป็นไปในทางศิลปะเพื่อชีวิต (Art
for Life's sake) อันเป็นแนวทางที่มี ความเชื่อว่า ศิลปะต้องมีรูปแบบที่รับรู้ง่าย
เนื้อหาสาระที่กระตุ้นเตือนให้ประชาชนเกิดสำนึกรับผิดชอบเอื้ออาทรต่อสังคมส่วนรวมมากกว่าเป็นเรื่องของปัจเจก
(วิรุณ 2536: 25) จุดเด่นของผู้ปฏิบัติงานด้านทัศนศิลป์ขบวนการนี้คือ
สร้างผลงานศิลปะเพื่อผลงานทางการเมืองโดยตรง มีเป้าหมายต้องการให้ผลงานส่งผลต่อการปฏิรูปสังคมควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวขององค์กรต่าง
ๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุ่นแรงทางสังคมในขณะนั้น
นับเป็นการกระทำที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในวงการประวัติศาสตร์ศิลปะไทย (กำจร สุนพงษ์ศรี
“บันทึกจากความทรงจำ: แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย,”
2537: 111)
ภายหลังเหตุการณ์สังหารหมู่เมื่อวันที่
6 ตุลาคม 2519 กลุ่มแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทยและศิลปินที่มุ่งเน้นการสร้างผลงานในแนววิพากษ์เริ่มห่างหายไปจากวงการทัศนศิลป์อันเนื่องจากความผันแปรทางการเมือง
แต่กลุ่มศิลปินที่เคยสร้างสรรค์ผลงานในแนวทางดังกล่าวนี้ก็ยังคงรวมเป็นกลุ่มขนาดย่อยเพื่อสร้างผลงานทัศนศิลป์ในแนววิพากษ์ต่อไป
เพียงแต่ปรับเปลี่ยนเนื้อหาจากการเมืองไปสู่การวิพากษ์สังคมแทน
แต่ถึงกระนั้นศิลปินที่ยังคงยึดแนวทางการแสดงออกของเนื้อหาในเชิงตั้งคำถามและสะท้อนการเมืองไทยก็ยังคงมีอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้น
แม้ว่าตั้งแต่ทศวรรษ
2530 เป็นต้นมา ศิลปินไทยที่นำเสนอผลงานทัศนศิลป์แนววิพากษ์การเมืองจะมีจำนวนน้อยหากเทียบกับยุคสมัยที่กลุ่มแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทยมีบทบาทอย่างโดดเด่น
ถึงกระนั้นก็ตาม ศิลปินในกลุ่มดังกล่าวมักจะเน้นไปที่เนื้อหาการสะท้อนสังคมโดยรวมมากกว่าจะมีแนวคิดแบบศิลปะเพื่อชีวิตเหมือนอย่างกลุ่มแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย
นับตั้งแต่วิกฤติทางการเมืองสมัย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ผลงานทัศนศิลป์แนววิพากษ์การเมืองก็ค่อยๆ
กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ศิลปินบางคนที่ยังมุ่งในแนวทางนี้ก็ยังคงสร้างสรรค์ผลงานไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชน
ส่วนศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานที่ไม่เกี่ยวกับสังคมและการเมืองเท่าไรนักก็เริ่มนำประเด็นสังคมและการเมืองเข้าสู่บริบทของการสร้างสรรค์มากขึ้น
ในช่วงปลายปี
พ.ศ. 2556 เกิดการชุมนุมทางการเมืองคัดค้านการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมทางการเมือง
(พ.ร.บ. นิรโทษกรรม) ซึ่งพ.ร.บ.
นิรโทษกรรมดังกล่าวนำมาซึ่งข้อสงสัยเกี่ยวกับคดีความทางการเมืองต่างๆ ที่ยังไม่มีความโปร่งใสตั้งแต่สมัย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จวบจนถึงสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกันกลุ่มศิลปินที่แสดงจุดยืนและต้องการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็ร่วมเข้าชุมนุมในครั้งนี้
พร้อมทั้งร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ที่วิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ทางการเมืองในครั้งนี้ด้วย
การรวมตัวของกลุ่มศิลปินที่เคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้
นำโดยส่วนหนึ่งของคณาจารย์ ศิษย์เก่า ศิลปิน และนักศึกษาจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์
มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นแกนนำในการสร้างผลงาน ซึ่งในวันที่ 11
พฤศจิกายน 2556 ศิลปินกลุ่มนี้ได้ร่วมกันวาดภาพบนพื้นแผ่นกระดานขนาดยาวหลายสิบเมตรที่วางขนานไปบนบนถนนราชดำเนินกลางอันเป็นพื้นที่ชุมนุมทางการเมืองในครั้งนี้ด้วย
การสร้างสรรค์จิตรกรรมขนาดใหญ่นี้มีศิลปินที่เข้าร่วมหลายสิบคนจึงมีผลทำให้การแสดงออกในเชิงกายภาพของผลงานมีรูปแบบที่หลากหลาย
ขณะเดียวกันกลุ่มศิลปินก็พยายามที่จะสร้างความเป็นเอกภาพด้วยการใช้สีที่สดคล้ายๆ กัน
ลักษณะของรูปร่าง (Shape) ที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นภาพคน สัตว์ สิ่งของ ล้วนวาดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา บางส่วนเป็นรูปร่างแบบผสม
(Hybrid) และรูปร่างที่บิดเบือนเหนือความจริง (Hyper Real) เพื่อให้เกิดภาพตัวแทนในการสื่อความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
บางครั้งศิลปินใช้สัญลักษณ์ที่เข้าใจง่ายเป็นรหัส (Code) ในการสื่อสาร
เช่น ปูซึ่งเป็นชื่อของนักการเมืองคนสำคัญ นกพิราบขาวที่แทนความหมายถึงอิสรภาพและสันติภาพ
หรือการใช้สัญลักษณ์สำคัญของการเมืองไทย เช่น อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหรือธงชาติไทยอันเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นชาติ
(สุริยะ 2554: 58) เป็นต้น ผลงานจิตกรรมชุดนี้จึงเน้นไปที่การสื่อสารที่เข้าใจง่ายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสาระของภาพที่ปรากฏอย่างชัดเจน
ผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ชุดนี้มีเนื้อหา (Content) ที่ตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน ศิลปินใช้หัวข้อ (Theme)
การวิพากษ์การเมืองไทยเป็นแกนหลักในการสร้างสรรค์โดยมุ่งไปที่การวิพากษ์นักการเมืองคนสำคัญมากกว่าจะสื่อถึงความงามแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น
ภาพผลงานโดยรวมใช้สีที่สดและบางส่วนของบางภาพมีการทิ้งรอยฝีแปรงหยาบๆ (Brush
Stoke) ดังนั้นผลงานที่เกิดขึ้นจึงให้ความรู้สึกที่ดุดัน
รุนแรง แข็งกร้าว และทรงพลังเพื่อขับเน้นเนื้อหาที่มุ่งประเด็นการต่อต้าน
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ในการชุมนุมคัดค้านพ.ร.บ.
นิรโทษกรรมครั้งนี้กับผลงานภาพคัตเอาท์การเมืองของกลุ่มแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทยจะพบว่า
ผลงานในกลุ่มศิลปินที่ชุมนุมคัดค้านพ.ร.บ. นิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่ได้เน้นไปที่แนวทางของศิลปะเพื่อชีวิตหรือมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสังคมอุดมคติ
แต่เป็นผลงานศิลปะที่นำเสนอการวิพากษ์วิจารณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองมากกว่าเป็นเพียงการบันทึกและสะท้อนเหตุการณ์ทางการเมือง
ผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ที่ปรากฏจึงแสดงออกอย่างล้อเลียนและเสียดสีมากกว่าการสร้างภาพในเชิงโฆษณาชวนเชื่อ
(Propaganda)
สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ในการชุมนุมคัดค้านพ.ร.บ.
นิรโทษกรรมครั้งนี้จะมีข้อเด่นหรือข้อด้อยอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ควรตระหนักก็คือ
ศิลปินกลุ่มนี้ได้วางบทบาทของตนเองให้อยู่ในฐานะของนักวิจารณ์โดยแสดงออกผ่านผลงานทัศนศิลป์
ซึ่งแม้การรวมตัวของศิลปินครั้งนี้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางการเมืองเท่านั้น
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการที่ศิลปินมีจิตสำนึกสาธารณะโดยการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและการเมือง
ศิลปะจึงไม่เพียงแค่ถูกนำเสนออยู่ในพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ หรือเทศกาลศิลปะอันทรงเกียรติเท่านั้น
หากแต่ศิลปะยังเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารกับประชาชนโดยทั่วไปให้เกิดองค์ความรู้ในการจะช่วยกันพัฒนาสังคมให้ดีงามมากยิ่งขึ้นต่อไป.
บรรณานุกรมรม
จันอับ
[นามแฝง].“นิทรรศการบนถนนราชดำเนิน”. สยามรัฐรายวัน . 11 ตุลาคม 2518.
ลลินธร เพ็ญเจริญ. “วสันต์
สิทธิเขตต์ : ศิลปะเพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง” .
วิทยานิพนธ์ศิลปมหาบัณฑิต
สาขาวิชาทฤษฎีศิลป์
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2553.
วิบูลย์ ลี้สุวรรณ.
ศิลปะในประเทศไทย : จากศิลปะโบราณในสยามถึงศิลปะสมัยใหม่.
กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือ
ลาดพร้าว, 2548.
วิรุณ ตั้งเจริญ. ทัศนศิลป์. กรุงเทพฯ : โอ.
เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2536.
สร้างสานตำนานศิลป์ : 20 ปีแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย 2517-2537. กรุงเทพฯ :
แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย, 2537.
สุริยะ ฉายะเจริญ. “สัญลักษณ์ของธงชาติไทยในศิลปะร่วมสมัย” .
วิทยานิพนธ์ศิลปมหาบัณฑิต
สาขาวิชาทฤษฎีศิลป์
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2554.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น