jumpsuri@hotmail.com
ชาตินิยมเป็นแนวคิดที่เกี่ยวพันกับทางการเมืองโดยตรง
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในลักษณะการเข้าสู่อำนาจด้วยคณะบุคคล
มักอ้างถึงความชอบธรรมของกลุ่มก่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสิทธิ์อันชอบธรรม
และสิ่งที่มักกล่าวอ้างคือการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำประชาชนไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นหรือเพื่อความมั่นคงและพัฒนาประเทศชาติ
ซึ่งในข้อเท็จจริงบางประการเชื่อมโยงกับการได้มาซึ่งอำนาจและการครอบครองทรัพย์มหาศาล
แต่กระนั้นการกล่าวอ้างที่เกี่ยวกับชาติมักเป็นคำอ้างที่ส่งผลให้เกิดน้ำหนักที่ดูจะมีประโยชน์ไม่น้อยกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองขนานใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อรุ่งเช้าของวันที่
24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยคณะทหารและพลเรือนที่เรียกกลุ่มตนเองว่า
คณะราษฎร
ซึ่งกระทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ
อันมีการปกครองโดยประชาชนหรือต่อมาเรียกกันว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งเมื่อคณะราษฎรได้ทำการยึดพระที่นั่งอนันตสมาคมแล้วกระทำการปลดธงรูปครุฑที่อยู่เหนือโดมพระที่นั่งออกซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ในการลดบทบาทอำนาจการปกครองของพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ถือเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน
คือเหตุการณ์เรียกร้องรัฐธรรมนูญและนำไปสู่การปฏิวัติทางการเมืองโดยนักศึกษาและประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
ในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า 14 ตุลาคม 2516 หรือ
14 ตุลา 16 ซึ่งนิธิ เอียวศรีวงศ์
ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับชาตินิยมกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
เอาไว้อย่างชัดเจนว่า
...เราอาจมองความเคลื่อนไหว
14 ตุลาฯ เป็นความเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหรือความเคลื่อนไหวที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิมาร์กซ์
แต่แรงผลักดันที่สำคัญซึ่งประสานอุดมการณ์อันหลากหลายไว้ภายใต้ความเคลื่อนไหวอันเดียวกันนี้คือแรงผลักดันจากสำนึกทางชาตินิยม...[1]
ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ นักวิชาการรัฐศาสตร์ และอดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516 ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับการเมืองภาคประชาชนไว้ว่า
...การเมืองภาคประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเคลื่อนไหวในประชาสังคม
แต่ไม่ใช่ส่วนทั้งหมด
และการเมืองภาคประชาชนต่างจากขบวนปฏิวัติในสมัยก่อนตรงที่ไม่มีจุดหมายที่จะยึดกุมอำนาจรัฐมาดัดแปลงสังคมให้เป็นไปตามอุดมการณ์ที่ยึดมั่น
หากประสงค์จะได้มาซึ่งฐานะในการกำหนดชีวิตของตนเอง (Self Determination) โดยไม่จำเป็นต้องผ่านรัฐเสมอไป...[2]
ตลอดการชุมนุมในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ฝ่ายนักศึกษาได้ชูสัญลักษณ์อันเกี่ยวข้องกับสถาบันทั้งสามตามความหมายของธงชาติไทย
กล่าวคือมีการประดับธงชาติเคียงคู่ไปกับพระพุทธรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถบนเวทีปราศรัยชั่วคราวหน้าตึกโดมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์ ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกันของผู้ชุมนุมที่มีสิ่งยึดเหนี่ยวอันเดียวกัน
ทั้งนี้บางครั้งคราวมีการโบกธงชาติไทยเพื่อปลุกอารมณ์ความรู้สึกรักชาติ เมื่อคราวถึงเวลาที่จะต้องเคารพธงชาติทุกคนก็ยืนตรงเคารพและร้องเพลงชาติร่วมกัน
นั่นยิ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ให้ความหมายของความเป็นชาติที่สถิตในธงชาติกลายเป็นรูปธรรมและพิธีกรรมที่ชัดเจนมากขึ้น
ริ้วขบวนธงชาติ ธงเสมาธรรมจักร
ขบวนอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์
http://www.14tula.com/images/gallery/images_event/
g050_jpg.jpg
ลักษณะการเดินขบวนที่ได้ถูกออกแบบเป็นอย่างดี
โดยมีขบวนธงชาตินำหน้า
ตามด้วยธงเสมาธรรมจักรสีเหลืองและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ
ถือเป็นสัญลักษณ์ที่นำไปสู่ภาพตัวแทนของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่ปรากฏขึ้นจริงมากกว่าเป็นเพียงอุดมการณ์
ธงชาติเปื้อนเลือดของนายจิระ บุญมาก
ผู้เสียชีวิตจากการถูกทหารยิง
ประชา สุวีรานนท์,
“ธงชาติ : โวหารของความรักชาติ,” ใน ดีไซน์+คัลเจอร์
2 (กรุงเทพฯ : อ่าน, 2552), 55.
ภาพเหตุการณ์ที่สำคัญอันหนึ่งที่มีผลทางความรู้สึกเป็นอย่างยิ่งเป็นภาพธงเปื้อนเลือดศพของนายจิระ
บุญมากผู้เสียชีวิตจากการถูกทหารยิงคนแรก
ซึ่งผู้ชุมนุมได้ชูธงชาติที่เปื้อนเลือดขึ้นอย่างไม่พอใจและยิ่งทวีความโกรธแค้นทหารที่ได้สังหารและทำร้ายประชาชนอย่างที่สุด
ศพของเขาได้รับการกราบไหว้จากผู้เข้าร่วมชุมนุมและนำธงไตรรงค์ห่อคลุมร่างของเขาแล้วแห่ไปวางยังพานรัฐธรรมนูญ[3]
ภาพที่ปรากฏได้แสดงสัญญะของการสละชีพที่มิเพียงเพื่ออุดมการณ์เท่านั้น
แต่เพื่อการต่อสู้ให้เกิดความชอบธรรม
ธงชาติในภาพจึงเป็นภาพลักษณ์ของชาตินิยมที่มีผลอันเกี่ยวข้องทางการเมืองอย่างเด่นชัด
โดยเฉพาะยิ่งเป็นการเมืองที่ภาคประชาชนคนชั้นกลางและเหล่าปัญญาชนได้ร่วมมือกันเป็นกำลังสำคัญแล้ว
ก็ยิ่งยิ่งทำให้ความชอบธรรมของฝ่ายอำนาจรัฐยิ่งดูเลือนลางมากยิ่งขึ้น สุดท้ายยังเป็นการผลักดันให้ผู้มีอำนาจรัฐกลับกลายเป็นศัตรูของชาติไปด้วย
ในเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาและประชาชนเมื่อวันที่
6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
ภาพของธงชาติที่นักศึกษานำมาคลุมศพในการแสดงละครเวทีเพื่อล้อการเมืองกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ใช้เป็นหนึ่งในข้ออ้างว่าผู้ชุมนุมมีลักษณะที่ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์และต้องการล้มล้างระบอบการปกครองในห้วงเวลานั้น
ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้อ้างว่า “...การกระทำดังกล่าวเป็นการเหยียบย่ำธงชาติ
ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งชาติไทยเราอย่างน่าอัปยศที่สุด
อันนับได้ว่าเป็นการเหยียดหยามคนไทยทั้งชาติ...”[4]
เหตุการณ์ดังกล่าวได้บานปลายไปสู่การล้อมปราบเข่นฆ่าผู้ชุมนุมโดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหาร
ตำรวจและประชาชนฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างไม่ปราณี
อีกทั้งนำไปสู่การทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
ส่วนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬหรือเหตุการณ์จลาจลเมื่อเดือนพฤษภาคม
พ.ศ. 2535
มีความคล้ายคลึงกับการเคลื่อนไหวเมื่อคราว 14
ตุลาคม 2516 อยู่ไม่น้อย ทว่าความแตกต่างก็มีมากเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะประเด็นชาตินิยมโดยตรงจะไม่ปรากฏชัดเจนนัก
หากแต่การเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยของชนชั้นกลางกลับเป็นประเด็นมากกว่าการต่อสู้ที่ผนวกกับแนวคิดความเป็นชาติ
ธงชาติที่ปรากฏในเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเสมือนเครื่องหมายหนึ่งในการเรียกร้องของผู้ชุมนุม
โดยเฉพาะขบวนการเคลื่อนไหวนั้นก็มิได้จัดการเป็นรูปแบบที่ขบวนชัดเจนดัง 14 ตุลาคม 2516
แต่กลับขับเคลื่อนขบวนเป็นกลุ่มก้อนและเข้ายึดพื้นที่ถนนราชดำเนินเพื่อต่อรองให้มีการเปลี่ยนอำนาจรัฐซึ่งมาจากการทำรัฐประหารในปีพ.ศ.
2534
ประชาชนรวมตัวประท้วงที่ถนนราชดำเนินในเดือนพฤษภาคม
พ.ศ. 2535
นิธิ
เอียวศรีวงศ์ ได้วิเคราะห์ประเด็นชาตินิยมกับเหตุการณ์พฤษาทมิฬ 2535 เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
...เนื่องขากชาตินิยมไม่เป็นแรงผลักดันให้แก่ความเคลื่อนไหว
จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องทบทวนให้เนื้อหาแก่ชาติกันใหม่อย่างจริงจัง
ด้วยเหตุดังนั้นความเคลื่อนไหวพฤษภา’ 35
จึงไม่นำมาซึ่งการทบทวนและตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาติ...เป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองแท้
ๆ ...[5]
ซึ่งแม้ว่าภาพรวมที่ปรากฏจะพยายามเอาความหมายของธงชาติออกมาใช้บางเป็นบางคราว
แต่เมื่อเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองธงชาติไทย (ธงไตรรงค์)
ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญเสมอดังเช่นในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535[6]
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือกลุ่มเสื้อเหลือง
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการหรือกลุ่มเสื้อแดง
ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือกลุ่มเสื้อเหลืองและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการหรือกลุ่มเสื้อแดงในยุคร่วมสมัยและหลังสมัย
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
ซึ่งก็คาบเกี่ยวกับการทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในปี
พ.ศ. 2549 ธงชาติได้ถูกกลุ่มเคลื่อนไหวดังกล่าวนำมาชูขึ้นเพื่อเรียกร้องสิทธิความชอบธรรมทางการเมือง
ทุกฝ่ายต่างตั้งธงชาติไทยขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นชาติ
เป็นตัวแทนของประชาชาติไทย
เป็นตัวแทนความชอบธรรมในสังคมที่มีมากกว่าฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งถือเป็นสงครามเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญในยุคปัจจุบัน