เรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ศิลปมหาบัณฑิต ทฤษฎีศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่อง “สัญลักษณ์ของธงชาติไทยในศิลปะร่วมสมัย”
ชาติในปัจจุบันมีความเข้าใจกันโดยทั่วไปว่าเป็นลักษณะของรัฐชาติ
(Nation
State) หรือมีชื่อเดิมเรียกว่า รัฐประชาชาติ (National State ) ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองระดับประเทศในปัจจุบัน
อันประกอบด้วยมโนทัศน์ทางรัฐศาสตร์ที่กำหนดว่าประเทศนั้นมีองค์ประกอบสามประการ คือ
มีประชากรแน่นอน มีดินแดนแน่นอน และมีรัฐบาลหรือมีอำนาจอธิปัตย์แน่นอนเป็นของตนเอง
ซึ่งเป็นมโนทัศน์ที่จำแนกประเทศในอดีตออกจากประเทศในปัจจุบัน
เนื่องจากในอดีตนั้นมโนทัศน์เช่นนี้หามีความแน่นอนไม่[1]
ความเป็นชาติ (Nationhood) จึงเป็นสิ่งที่ก้ำกึ่งระหว่างแนวคิดสังคมอุดมคติอันเป็นลักษณะนามธรรมที่จับต้องไม่ได้กับการสถาปนาแนวคิดดังกล่าวให้ปรากฏออกมาในเชิงรูปธรรม
แนวคิดของความเป็นชาติมีความซับซ้อนอันเกี่ยวโยงกับการสร้างมายาคติของสังคม
ดังนั้นการสร้างความสำนึกความรักชาติจึงต้องสร้างสัญลักษณ์ (Symbol) บางอย่างขึ้นมา เพื่อเป็นสิ่งแทนอุดมการณ์ที่มองไม่เห็น ซึ่งโรลองด์
บาร์ตส์ (Roland Gérard Barthes) นักทฤษฎีชาวฝรั่งเศสคนสำคัญของสำนักสัญวิทยาได้นำเสนอว่า
“ทันทีที่สังคมเกิดขึ้น การใช้วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ในสังคมในตัวเองก็ทำให้ถูกทำให้กลายสภาพเป็นสัญญะ
(Sign) ไป”[2]
ธงชาติซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันเป็นหมวดหนึ่งของสัญญะจึงเป็นภาพตัวแทนของอุดมคติความเป็นชาติให้กลายเป็นรูปธรรมที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด
สำหรับการใช้ธงชาติไทยในแง่มุมชาตินิยมแบบรัฐสมัยใหม่นั้นได้รับการปลูกฝังครั้งแรกในยุคสมัยสร้างชาติของจอมพล
ป. พิบูลยสงคราม ซึ่งนอกจากจะแฝงแนวคิดความรักชาติแล้ว
ยังมีนัยยะที่เกี่ยวข้องกับบทบาททางอำนาจที่ผู้นำต้องการสร้างความชอบธรรมโดยใช้แนวคิดชาตินิยมเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่งที่สำคัญ
นายพลตรี หลวงพิบูลยสงคราม นายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยแก่บรรดานักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ซึ่งเดินขบวนเรียกร้องดินแดนหน้ากระทรวงกลาโหม
8 ตุลาคม พ.ศ. 2483
ที่มา : ชาญวิทย์
เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ และ วิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์, จอมพล
ป.
พิบูลยสงครามกับการเมืองไทยสมัยใหม่,
พิมพ์ครั้งที่ 2
(กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, 2544),
161.
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มานิตย์
นวลละออ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เขียนไว้ในหนังสือ “การเมืองไทยยุคสัญลักษณ์รัฐไทย”
ซึ่งได้รับทุนการปรับปรุงวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) สรุปประเด็นการเคารพธงชาติในยุคสมัยนั้นเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
...การเคารพธงชาติอาจถือได้ว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ที่แข่งขันกับสถาบันเดิม
นัยว่าเพื่อลดความสำคัญของพระมหากษัตริย์เพราะการเคารพธงชาติ เพลงชาติ
กระทำทุกวันบ่อยกว่าการสรรเสริญพระบารมี นอกจากนั้น
ในเนื้อร้องเพลงชาติไม่มีการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์เลย แต่มีการเน้นคำว่า
“ประชารัฐ” แทน
ซึ่งแสดงถึงการให้ความสำคัญกับราษฎรสามัญชนที่เป็นหลักใหญ่ของชาติหรือรัฐ
นอกจากนั้นยังเน้นบทบาททางการทหารในการปกป้องเอกราชของประเทศไทย
ซึ่งมีความหมายถึงการปกป้องระบอบใหม่ของประเทศไทยแทนระบอบเก่าของประเทศสยาม
และยังเน้นอุดมการณ์ชาตินิยมให้มีความเป็นรูปธรรมในเชิงสัญลักษณ์ชัดเจนขึ้น[3]
รัฐนิยมในสมัยสร้างชาติยุคจอมพล
ป. พิบูลยสงครามได้ถือเป็นการเปิดฉากให้ธงชาติไทยหรือธงไตรรงค์ได้มีบทบาทกับการดำเนินนโยบายชาตินิยมอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะรัฐนิยม ฉบับที่ 4 การเคารพธงชาติ
เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี ฉบับที่ 6 เรื่องทำนอง
และเนื้อร้องเพลงชาติ และฉบับที่ 7
เรื่องชักชวนให้ชาวไทยร่วมกันสร้างชาติ[4]
ธงชาติถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือหรือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง
ในการปลุกระดมความรักชาติและชาตินิยม การร้องเพลงชาติและการยืนตรงเคารพธงชาติซ้ำ ๆ
กันทุก ๆ วัน วันละ
2 ครั้ง เสมือนการทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ธงชาติไทยจึงมิใช่ผ้าผืนสี่เหลี่ยมปกติธรรมดา
แต่กลายเป็นสัญลักษณ์แทนชาติไทยอันเป็นแนวคิดนามธรรมที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง
แต่ธงชาติไทยก็ได้ถูกสร้างให้มีปฏิสัมพันธ์กับมหาชนโดยรวมด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมผ่านพิธีกรรมการร้องเพลงชาติ
การยืนตรงเคารพธงชาติและการใช้ธงชาติในบริบทต่าง ๆ หรืออาจจะพูดได้ว่า “ชาติและธงไตรรงค์จึงยังคงเป็นสิ่งสูงสุดที่เราจะต้องรักษาไว้ยิ่งกว่าชีวิตของเรา” [5]
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจอมพล ป.
พิบูลยสงครามต้องการให้เกิดขึ้นคือการแสดงความเคารพธงชาติของประชาชนอันเป็นรูปธรรมที่แสดงถึงความรู้สึกรักชาติ
และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน[6]
ภาพที่ 29 ประชาชนยืนตรงเคารพธงชาติตามรัฐนิยมสมัยจอมพล
ป. พิบูลยสงคราม พ.ศ. 2483
ที่มา : ชาญวิทย์
เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ และ วิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์, จอมพล
ป.
พิบูลยสงครามกับการเมืองไทยสมัยใหม่,
พิมพ์ครั้งที่ 2
(กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, 2544),
161.
ธงชาติถูกทำให้สูงค่ายิ่งหากผ่านการกระทำที่ต้องแลกมาด้วยการพลีชีวิตเสียเลือดเนื้อ
ดังเช่น ธงชาติคลุมศพของทหารผู้เสียสละชีวิตในการปกป้องอธิปไตยจากศัตรู ธงชาติที่วางบนร่างนั้นได้แปรสภาพร่างที่ไร้วิญญาณกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และควรเทิดทูนราวเทพเจ้าทันทีทันที
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการสร้างอารมณ์ให้เกิดสำนึกรักชาติ
เป็นการปลุกความรู้สึกสูญเสียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของชาติ
อันนำมาซึ่งสำนึกร่วมกันตามลักษณะชาตินิยมได้เป็นอย่างดี
ซุ้มทางเข้างานฉลองรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2482 ประดับด้วยธงชาติ
ที่มา : ชาตรี ประกิตนนทการ, ศิลปะ-สถาปัตยกรรมคณะราษฎร (กรุงเทพฯ : มติชน, 2552), 171.
ธงชาติที่ถูกชูขึ้นเหนือสถานที่ราชการ
อาคารสิ่งก่อสร้าง และประดับตามอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อแนวคิดความเป็นรัฐชาติ
สร้างสำนึกความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาสังคม
แต่เมื่อธงชาติได้ถูกชูเหนือชายแดนหรือประตูผ่านแดน
ธงชาติจึงได้กลายเป็นกำแพงที่แบ่งแยกระหว่างผู้ที่อยู่ในอาณาเขตหนึ่งกับอีกอาณาเขตหนึ่ง
ซึ่งสิ่งดังกล่าวกลายเป็นเส้นแบ่งพรมแดนนามธรรมที่รัฐชาติทั้งสองฝั่งต้องยอมรับกฎเกณฑ์ดังกล่าวร่วมกัน
เพราะหากไม่มีข้อตกลงอันเป็นเอกฉันท์ก็จะเกิดปัญหา เช่น
กรณีพื้นที่ประสาทเขาพระวิหาร
และพื้นที่ทับซ้อนระหว่างราชอาณาจักรไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
ชนิดา
พรหมพยัคห์ เผือกสม ทำการศึกษาเรื่อง “การเมืองในประวัติศาสตร์ธงชาติไทย”
ได้ให้ทัศนะ เกี่ยวกับการใช้ธงชาติในอีกมิติว่า
...ยังมีการแสดงออกถึงความสำคัญของธงชาติในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น
ที่เห็นได้ชัดคือการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะกีฬาระดับชาติ พิธีการประกาศชัยชนะของผู้ที่ชนะเลิศในการแข่งขันคือการชักธงของประเทศนั้น ๆ ละบรรเลงเพลงชาติไปพร้อมๆ กับการแสดงความเคารพของคนทั้งหมด ซึ่งเป็นการแสดงถึงเกียรติยศของชาตินั้น
หรือกระแสนิยมการเขียนระบายสีตามหน้าตาและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นรูปแถบสีธงชาติของผู้ชมในการแข่งขันกีฬาต่าง
ๆ ซึ่งไม่ได้ถือเป็นการลบหลู่ธงชาติ แต่เป็นการแสดงออกถึงความรักชาติอย่างหนึ่ง...[7]
กองเชียร์ทีมชาติไทย
ที่มา : ไทยบิสเซ็นเตอร์ด็อทคอม,
สีสันกองเชียร์ของฟุตบอลไทย [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ
25 ธันวาคม 2554. เข้าถึงได้จาก http://tpl.thaibizcenter.com/CheerGallery
.asp?pg=8
จากปัจจัยอันหลากหลายข้างต้นทำให้ธงชาติได้แสดงนัยยะอันสำคัญยิ่ง
นั่นคือเป็นเครื่องมือที่สถาปนาความเป็นชาติและความรักชาติ
อันเป็นการทำให้เกิดความภูมิใจในชาติบ้านเมืองของตนเองจนเกินขอบเขตอย่างไม่มีเหตุผลของคนไทย
อีกทั้งความหลงใหลในชาติบ้านเมืองของตนเองนี้ ปรากฏทั่วไปในชนทุกระดับ
ตั้งแต่ผู้มีอำนาจไปจนถึงชาวไร่ชาวนา[8]
เข้าถึงได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90
%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4
พริ้นติ้ง, 2540),
100.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น