เมื่อเราทอดสายตาไปบนโค้งฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดวงดาวกระจัดกระจายอย่างเป็นอิสระยามค่ำคืน
เราอาจมองเวิ้งฟ้าอันหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ด้วยทัศนะที่แตกต่างกัน
บางคนอาจคิดไปถึงสัมพันธภาพตามหลักดาราศาสตร์
บางคนอาจหวนไปถึงนิทานหรือเรื่องราวปรัมปราแต่อดีต
บางคนอาจคิดคำนึงไปในเชิงของวรรณกรรมและปรารถนาจะพรรณนาเป็นถ้อยความอันเต็มไปด้วยความหมาย
ยังไม่นับอีกหลากหลายผู้คนที่อาจจะมิเคยแหงนมองท้องฟ้าในยามที่ดวงดาราปรากฏตัว
ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ว่ามนุษย์เราจะเอาใจใส่หรือให้ความสำคัญกับท้องฟ้า ดวงดารา
หรือจักรวาลหรือไม่
แต่เราก็มิอาจปฏิเสธการมีอยู่อย่างเป็นนิรันดร์ของสิ่งดังกล่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน
ความเชื่อเรื่องดวงดาวและโครงสร้างของจักรวาลหรือเอกภพนั้นทำให้มนุษย์ตั้งคำถามการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นที่อยู่นอกดาวโลก
ตลอดเวลาที่มนุษย์เริ่มที่จะมีข้อสงสัยในสิ่งมีชีวิตนอกโลก
มนุษย์เองก็พยายามค้นหาร่องรอยทางประวัติศาสตร์หรือสถานที่ต่างๆ ที่ปรากฏสัญลักษณ์บางอย่างที่มิอาจบรรยายสัณฐานได้ว่าเป็นสิ่งทางกายภาพใดๆที่มนุษย์รู้จัก
และนำไปสู่การสมมุติฐานถึงการเกิดขึ้นจากผลการกระทำของสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือมนุษย์ต่างดาว
"Blurior"
สัญลักษณ์อันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในสถานที่แปลกประหลาดรวมไปถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งอารยธรรมที่ล่มสลายลงไปแล้วย่อมแสดงถึงการมีอยู่จริงของมนุษย์ก่อนปัจจุบัน
ตลอดรวมไปถึงตำนานและเรื่องเล่าโบราณอย่างอาณาจักรโบราณที่เจริญรุ่งเรืองหรือนครที่สาบสูญก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่ามีอารยธรรมที่เกิดขึ้นเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุดและล่มสลายหายไป
เช่น นครแอตแลนติส (Atlantis)[1] เป็นต้น
เรื่องเล่าดังกล่าวนี้ถูกโยงไปกับการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวในจินตนาการของผู้ที่เลือกจะเชื่ออย่างนั้น
"Bizarre Love"
ทั้งนี้สัญลักษณ์อันแปลกประหลาดที่ปรากฏ
ณ ส่วนต่างๆ ทั่วโลกล้วนเสริมจินตนาการถึงความเป็นอื่น (the other) มากเท่ากับการทำสัญลักษณ์ที่ถูกถอดความหมายเป็นภาพตัวแทนของการมีอยู่ของความเป็นเรา
(มนุษย์โลก) ความเป็นอื่นจึงไม่ได้ถูกแทนค่ากับความเป็นมนุษย์ต่างดาว (Alien) เท่านั้น ด้านหนึ่งก็มีนัยยะไปถึงมนุษย์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในโบราณกาล
ซึ่งนั่นย่อมทำให้ประวัติศาสตร์อันไกลได้ถูกตัดขาดจากความเป็นปัจจุบัน ดังนั้นความเป็นมนุษย์ต่างดาวจึงถูกฝังรากเข้ากับประวัติศาสตร์อันไกล
(ประวัติศาสตร์ก่อนการประดิษฐ์อักษรแบบปัจจุบัน) ได้แนบสนิทกว่าประวัติศาสตร์อันใกล้
(หรือประวัติศาสตร์ที่มนุษย์รับรู้ผ่านตัวอักษร) นั้นย่อมหมายความว่า มนุษย์บางกลุ่มอาจเชื่อว่าบางตำนานที่มนุษย์ต่างดาวมีสัมพันธภาพกับมนุษย์โลกในอดีตนั้นอาจจะเป็นความจริงได้
(ในโลกอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม) ซึ่งสิ่งเหล่านี้หลายครั้งถูกถ่ายทอดออกมาเป็นสื่อภาพยนตร์อย่างเห็นได้ชัด
เช่น Independence Day (1996)[2], The Fifth Element (1997)[3]
และ Prometheus (I) (2012)[4]
เป็นต้น
นิทรรศการ
FIRST STEP of DCXIX &
THE GANG OF STAR[5] เป็นนิทรรศการเดี่ยวของ เกียรติศักดิ์ รุ่งรัตนพัฒนา ซึ่งนำเสนอผลงานวาดเส้นและภาพพิมพ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวโยงกับจินตนาการเรื่องมนุษย์ต่างดาวและสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกเหนือไปจากสามัญรูป
ผลงานของเกียรติศักดิ์ไม่ได้เป็นการตั้งคำถามหรือการแสดงออกว่ามนุษย์ต่างดาวที่เขาเชื่อนั้นมีอู่จริงหรอไม่
แต่เพียงเป็นการแสดงความคิดเห็นของศิลปินเองว่ามีความเชื่ออย่างไรในเรื่องนี้
ศิลปินมิได้ยัดเยียดในการตั้งชื่อผลงานแต่ละชิ้นให้ดูเสมือนว่าเป็นการบังคับให้ผู้ดูเป็นฝ่ายเชื่อถือในสิ่งที่เขาเชื่อ
แต่เพียงแค่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เขาต้องการนำเสนอผ่านผลงานทัศนศิลป์ 2 มิติเท่านั้น
"Autobot"
"Blow Your Mind"
รูปแบบผลงานในนิทรรศการ
FIRST STEP of DCXIX &
THE GANG OF STAR เป็นผลงานที่ประกอบไปด้วยจิตรกรรม วาดเส้น
และภาพพิมพ์ โดยที่ผลงานแต่ละชิ้นล้วนเป็นรูปลักษณ์ (image) เดี่ยวบนพื้นที่ว่างในผลงาน
ศิลปินมิได้สร้างองค์ประกอบของภาพให้เป็นโครงสร้างที่มีลำดับชั้นความสำคัญของแต่ละสัญญะ
เพียงแต่ผลงานแต่ละชิ้นล้วนเป็นรูปร่างที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวอิสระจากกัน
บ้างล่องลอยอยู่บนพื้นทีที่มีพื้นผิวเรียบ ว่างเปล่า
บ้างอยู่บนพื้นผิวที่ละเอียดและหยาบคละเคล้ากันไป ซึ่งศิลปินเองก็จงใจที่จะนำเสนออย่างหลากหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน
"Appear"
ในขณะที่รูปร่างงหลักนั้นเป็นการประกอบขึ้นจากทัศนธาตุแบบอิสระ (Freeform) ไม่ยึดโยงกับความเป็นธรรมชาติ (Natural) หรือความเป็นจริง (Realistic)
รูปทรงอิสระนั้นจึงไม่ใช่ภาพแทน (Represent) ความหมายของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเป็นอิสระตัดขาดจากสภาพความเป็นจริง ซึ่งถึงแม้ผลงานบางชิ้นจะมีสัญลักษณ์บางอย่างที่มีส่วนคล้ายกับมนุษย์หรือสัตว์โลกบางชนิด
แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้นำไปสู้ความหมายขั้นแรก (ความหมายโดยตรงจากสิ่งที่ปรากฏ) หากแต่นำไปสู่การตีความหมายในแบบปัจเจกมากกว่าเป็นการถอดรหัสความหมายอย่างตายตัวตามโครงสร้างของชุดความหมายแบบทฤษฎีการสื่อสาร
"Fuqaima"
ผลงานในนิทรรศการครั้งนี้นอกจากจะเป็นเสมือนเสียงสะท้อนถึงทัศนคติของศิลปินที่มีต่อความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวโดยส่วนตัวแล้ว
ยังเป็นการแสดงออกถึงการใช้ทัศนธาตุที่แทนค่าภาพของสิ่งมีชีวิตนอกกรอบของการรับรู้ของมนุษย์ด้วยการตั้งสมมุติฐานมากกว่าการค้นหาข้อมูลในเชิงกายภาพของศิลปิน
ดังนั้นรูปลักษณ์ที่เกิดขึ้นในผลงานจึงเกิดขึ้นด้วยจินตนาการของศิลปินมากกว่าด้วยเหตุผลใดๆ
"Taste"
ผลงานในนิทรรศการ
FIRST
STEP of DCXIX & THE GANG OF STAR จึงเป็นการแสดงสาระของจินตนาการของศิลปินที่มีต่อเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวและถูกผลิตออกมาเป็นภาพผลงานศิลปะได้อย่างน่าสนใจ
แม้ว่าในภาพรวมของผลงานชุดนี้จะมีทีท่าที่ไม่สมบูรณ์ในด้านเทคนิคการสร้างสรรค์ขั้นสูงเสียทีเดียว
แต่จากผลงาที่ปรากฏย่อมพิสูจน์ความจริงใจของศิลปินที่กล้าที่จะนำเสนอในเนื้อหาที่อยู่นอกกรอบบริบทของความเป็นกระแสหลักในวงการศิลปะปัจจุบัน
[5]
นิทรรศการ
"FIRST
STEP of DCXIX & The Gang of Star Art Exhibition" โดย เกียรติศักดิ์ รุ่งรัตนพัฒนา จัดแสดงนิทรรศการตั้งแต่วันที่
7 กันยายน - 30 กันยายน 2556 เปิดนิทรรศการ : วันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2556 เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ณ
หลังแรก Bar Restaurant Gallery
แนวความคิด (Concept)
ความกว้างใหญ่ลึกลับของท้องฟ้า บรรยากาศอันลึกลับน่าค้นหายามราตรี ทำให้ข้าพเจ้าตั้งคำถามถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆในอวกาศอันกว้างใหญ่ ซึ่งอาจมีรูปแบบของชีวิตที่อาจเหนือความเข้าใจของมนุษย์ จีงเป็นแรงปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ข้าพเจ้าสร้างสรรค์ผลงาน มโนภาพของรูปทรงที่เกิดขึ้นจากความคิดฝัน ได้ก่อกำเนิดขึ้นเป็นชีวิตใหม่ ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดูราวกับไร้กาลเวลารูปทรงที่ดูประหลาดเกิดขึ้นมาจากการที่ข้าพเจ้ามองรูปทรงของสีที่ไหลลงบนกระดาษรวมกับประสบการณ์และทัศนคติของตนเองแต่งเติมลงไปเปรียบไดักับการมองก้อนเมฆที่เปลี่ยนรูปร่างไปตามลมและตีความว่าคล้ายกับอะไร ซึ่งถือเป็นการใช้ความคิดที่สนุกกับการสร้างสรรค์อย่างไร้กฎเกณฑ์ ล่องลอย บางเบา และเพ้อฝัน
แนวความคิด (Concept)
ความกว้างใหญ่ลึกลับของท้องฟ้า บรรยากาศอันลึกลับน่าค้นหายามราตรี ทำให้ข้าพเจ้าตั้งคำถามถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆในอวกาศอันกว้างใหญ่ ซึ่งอาจมีรูปแบบของชีวิตที่อาจเหนือความเข้าใจของมนุษย์ จีงเป็นแรงปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ข้าพเจ้าสร้างสรรค์ผลงาน มโนภาพของรูปทรงที่เกิดขึ้นจากความคิดฝัน ได้ก่อกำเนิดขึ้นเป็นชีวิตใหม่ ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดูราวกับไร้กาลเวลารูปทรงที่ดูประหลาดเกิดขึ้นมาจากการที่ข้าพเจ้ามองรูปทรงของสีที่ไหลลงบนกระดาษรวมกับประสบการณ์และทัศนคติของตนเองแต่งเติมลงไปเปรียบไดักับการมองก้อนเมฆที่เปลี่ยนรูปร่างไปตามลมและตีความว่าคล้ายกับอะไร ซึ่งถือเป็นการใช้ความคิดที่สนุกกับการสร้างสรรค์อย่างไร้กฎเกณฑ์ ล่องลอย บางเบา และเพ้อฝัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น