วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ทางเดินเที่ยวสั้นๆในวันสบายๆ

โดย : สุริยะ ฉายะเจริญ

คงไม่ใช่เรื่องแปลกนักหากจะกล่าวว่าวันหยุดธรรมดา 1 วันใน 1 สัปดาห์เป็นวันที่มีค่าสำหรับคนทำงานเป็นอย่างยิ่ง หลายคนใช้เวลาในวันเดียวกันนี้ในการชำระสะสางงานบ้านที่ทำได้ไม่เต็มที่ตลอด 6 วันทำงานที่ผ่านมา หลายคนอาศัยนิวาสสถานเป็นที่พักผ่อนอย่างสบายอารมณ์ และอีกหลายคนเดินออกนอกที่พักส่วนตัวไปสูดอากาศภายนอกที่ไม่ใช่ที่ทำงานประจำทุกวัน ผมคงเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตในวันหยุดในประเภทท้ายนั้นแหละ

หลังจากจัดการภาระงานบ้านภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ พร้อมกับอาหารในมื้อสายๆ ผมนั่งรถเมล์ประจำทางไปลงละแวกศาลาว่าการกรุงเทพฯ ซึ่งแถบนั้นเป็นศูนย์กลางที่สำคัญแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของเรา ไม่เพียงแต่ศาลาว่าการฯและลานคนเมืองเท่านั้น หากแต่ยังมีเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า และวัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร


ผมเดินข้ามจากฝั่งศาลาว่าการเข้าไปสู่วัดสุทัศน์ฯ วัดใจกลางเมืองอันเป็นสถานที่สถิตพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยที่ใหญ่ที่สุดในนาม พระศรีศากยมุนี

ท่ามกลางนักท่องเที่ยวที่มีอยู่ไม่มากไม่น้อยเกินไปย่อมไม่ทำให้วัดสุทัศน์วุ่นวายหรือเงียบเหงานัก สิ่งแรกที่ผมก้าวข้ามเข้าไปในเขตของบริเวณพระวิหาร คือการเดินประทักษิณไปตามทางระเบียงคดที่ประดับไปด้วยพระพุทธรูปในรูปแบบสุโขทัยอยู่เต็มไปหมด แต่ทั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นพระพุทธรูปเก่าหรือไม่ และในวันนี้ผมก็ไม่ได้สนใจความเป็นมาประวัติศาสตร์อะไรมากมาย ถึงกระนั้นก็ได้เดินรอบระเบียงคดจนครบหนึ่งรอบ ซึ่งตลอดการเดินรอบทำให้มองพระวิหารในหลากหลายแง่มุม แต่ละเหลี่ยมมุมก็มีรายละเอียดที่ทำให้เราปล่อยใจไปกับจินตนาการได้ไม่รู้จบ

หลังจากนั้นจึงขึ้นไปสักการะพระประธานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งแห่งรัตนโกสินทร์อันมีนามว่า พระศรีศากยมุนี ซึ่งตามประวัติแล้วรัชกาลที่ 1 แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ได้ชะลอทางแม่น้ำมาจากวัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัย และขึ้น ณ ท่าช้าง ถนนหน้าพระลาน ในคราวนั้นมีเรื่องเล่าว่าต้องทุบทำลายกำแพงพระนคร เพื่อจะนำพระพุทธรูปขนาดมหึมาเข้าสู่ในเมืองหลวง ซึ่งเรื่องเล่านี้ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย แต่ก็คงให้ท่านผู้อ่านคงต้องไปสืบเสาะเอาเอง ผมคงบอกเล่าแบบผิว ๆ เพื่อให้น้ำลายแห่งความอยากรู้ของคุณ ๆ ได้ไหลกันเล่น ๆ
เมื่อได้เข้าไปสู่ภายในวิหารใหญ่ที่ประทับของพระประธาน ผมทำใจสงบบรรจงกราบพระพุทธรูปที่งดงามสีทองเปล่งปลั่งด้วยอาการสำรวม ทุกคนที่ก้าวข้ามธรณีประตูวิหารล้วนต้องสยบต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แม้ว่าไม่กี่เมตรจากทางหน้าวิหารจะมีรถยนต์แล่นกันขวักไขว่ แต่ภายในวิหารกับพบความสงบอย่างประหลาด หรือว่าแท้ที่จริง ความสงบคือเรื่องประหลาดสำหรับมนุษย์ เพราะมนุษย์มักไม่ค่อยเห็นคุณค่าของความสงบ

นอกจากพระประธานแล้วสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือบานประตูไม้แกะสลักปิดทองที่มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง ผมจำไม่ได้ว่าใช่บานประตูนี้หรือไม่ที่ รัชกาลที่ 2 แห่งราชจักรีวงศ์ เป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม นับว่าฝีมือในการแกะสลักเป็นระดับเทวดาโดยแท้

ความอลังการของจิตรกรรมฝาผนังที่นี่มีอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมในมหาวิหาร รูปแบบจิตรกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ที่นี่นับว่าไม่เป็นรองที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ผมไม่ได้ลงลึกศึกษาว่ามีการวาดขึ้นในสมัยใด แต่ดูแบบผิวเผินแล้วคล้ายกับจิตรกรรมฝาผนังที่วิหารพระนอนวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ อย่างไรก็ตามก็นับว่าที่สิ่งปรากฏในวิหาร คือ ศิลปะชั้นครูที่น่าศึกษายิ่งสำหรับผู้ที่สนใจศิลปะไทย
วัดสุทัศน์ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น รูปแบบแผนผังของวัดที่ท่านศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี บิดาศิลปะสมัยใหม่ไทยได้การันตีว่าดีที่สุด และเรื่องราวอีกมากมายซึ่งมีความสัมพันธ์กันกับ เสาชิงช้า และเทวสถานโบสถ์พราหมณ์อีกด้วย

หลังจากนั้นผมออกจากวัดสุทัศน์ฯและเดินไปตามถนนดินสอ ผ่านเทวสถานโบสถ์พราหมณ์และศาลาว่าการกรุงเทพฯ ตลอดเส้นทางนี้มีร้านของกินที่มากมายน่าเข้าไปชิม ไม่ว่าจะเป็นร้านติ่มซำโบราณ ร้านก๋วยเตี๋ยว สูตรดั้งเดิม ข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็น ตลอดไปจนถึงร้านกาแฟและเบเกอรี่ก็มี ซึ่งถ้าผมไม่ได้อิ่มด้วยอาหารมื้อสายแล้วก็คงต้องแวะลิ้มลองดูสักร้าน

เดินตามทางไปจนทะลุไปถึงถนนราชดำเนินกลาง โดยมีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า ผมเดินเลี้ยวซ้ายไปไม่ไกลก็ถึงร้านหนังสือริมขอบฟ้า ซึ่งสำหรับนักอ่านทั้งหลายก็คงรู้ว่าที่นี้เป็นร้านหนังสือในเครือสำนักพิมพ์เมืองโบราณ ดังนั้นร้านนี้จึงอุดมไปด้วยหนังสือที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมเป็นส่วนใหญ่ มีทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศให้เลือกสรร หลายเล่มยังมีการลดราคาเนื่องจากเป็นหนังสือที่ค้างมานาน แต่โดยตัวเนื้อหาก็ยังใช้ได้อยู่ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหนังสือในแนวดังกล่าว ผมเชื่อว่าที่นี่มีให้เลือกเกือบทุกเล่มเท่าที่ท่านต้องการ

เมื่อดูหนังสือจนอิ่มตาอิ่มใจแล้วก็เดินย้อนไปตามถนนราชดำเนินกลางจนถึงบริเวณลานลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ก็เดินข้ามถนนไปหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ซึงตั้งอยู่บนหัวมุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ

ที่นี่เป็นอาคารหอศิลป์ที่ดัดแปลงมาจากอาคารสำนักงานธนาคารกรุงเทพเก่า มีการแสดงนิทรรศการศิลปะหมุนเวียนตลอดเวลา ผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการชมงานศิลปะข้างใน จากนั้นออกมาทางด้านซ้ายไปสู่ร้านกาแฟของหอศิลป์ ซึ่งเมื่อเข้าไปนั่งในร้านมองออกไปทางถนนจะเห็นภาพมุมกว้างของถนนราชดำเนินกลางจรดมาถึงบริเวณสะพานผ่านฟ้า ด้านหน้าคือ ป้อมมหากาฬ (ซึ่งเป็นหนึ่งใน 2 ป้อมโบราณของกรุงเทพฯที่ยังเหลืออยู่ อีกแห่งคือป้อมพระสุเมรุ) อีกทั้งมองเห็นภูเขาทองทางด้านซ้ายบน และด้านขวาจะมองเห็นโลหะปราสาทแห่งวัดราชนัดดาอีกด้วย ซึ่งหากท่านมานั่งละเลียดเครื่องดื่มเบา ๆ ที่นี่ นอกจากรับสุนทรียะทางรสชาติของเครื่องดื่มกรุ่นๆแล้วยังสัมผัสทิวทัศน์ที่น่าดูน่าชมอีกแห่งในกรุงเทพฯอีกด้วย

หลังจากใช้เวลาในร้านกาแฟสักระยะ ผมข้ามถนนราชดำเนินกลางกลับไปสู่ด้านลานพลับพลาฯ และเดินเข้าไปสู่โลหะปราสาท

เนื่องจากช่วงนี้มีนิทรรศการเกี่ยวกับโลหะปราสาท ทางวัดราชนัดดาจึงเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมโลหะปราสาทอย่างใกล้ๆ ทำให้มีผู้คนมากมายทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าไปชื่นชมสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นแห่งนี้ ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเยือนโลหะปราสาท ทั้งๆที่ผ่านไปผ่านมาอยู่บ่อยครั้ง และผมก็ไม่ทราบว่าถ้าไม่มีนนี้ ทางวัดจะเปิดให้เข้าชมหรือไม่

โครงสร้างภายในโลหะปราสาทมีการก่อสร้างเป็นซอกเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน เป็นโครงสร้างที่ล้อไปกับยอดปราสาทเบื้องบน ซึ่งสร้างขึ้นจากโลหะธาตุ โดยจำนวนของยอดปราสาทและลักษณะสถาปัตยกรรมโดยรวมมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับทางพุทธธรรม (ซึ่งตรงนี้ผมเองก็ยอมรับว่าไม่ได้ลงลึกรายละเอียดเป็นพิเศษ จึงขอละในส่วนสาระความเป็นมาของที่นี่ไว้ด้วย)

โลหะปราสาทสร้างเป็นชั้น ๆ สูงขึ้นไป ซึ่งเมื่อผมเดินมาสู่จุดศูนย์กลางก็พบบันไดวนที่สร้างขึ้นเพื่อเดินขึ้นไปสู่ด้านบน ตลอดทางที่เดินขึ้นไปมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา และชาวต่างชาติมากมายเดินขึ้นลงกันด้วยความสุข เนื่องด้วยบนยอดกลางสูงสุดของโลหะปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ทุก ๆ คนที่เดินขึ้นไปก็จะได้มีโอกาสสักการะสิ่งแทนพระพุทธองค์ด้วยความศรัทธา สิ่งดังกล่าวนำความปีติมาเยือนหัวใจของผู้ที่ได้สัมผัส ดังนั้นผมเห็นไม่ว่าใครเดินลงมาพร้อมกับหน้าตาที่ดูอมทุกข์เลย




หลังจากลงมาจากโลหะปราสาทเดินออกมาสู่ถนนราชดำเนินกลางเพื่อเตรียมตัวกลับที่พัก โดยบริเวณไม่ไกลกันนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารนิทัศน์รัตนโกสินทร์ อันเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งใหม่ที่น่าสนใจอีกแห่ง ซึ่งผมเองก็ยังไม่เคยได้เข้าไปเยี่ยมชม แต่สำหรับวันนี้ผมคงอิ่มตาอิ่มใจพอแล้วสำหรับวันสบาย ๆ

ผมหวังว่าการใช้ชีวิตวันหยุดแบบง่าย ๆ กับสถานที่ ๆ เราคุ้นเคย ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดูน่าเบื่ออะไร มันอยู่ที่ว่าแต่ละคนจะเก็บรายละเอียดอะไรบ้างกับรายทางที่แต่ละคนพบเจอ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น