วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

เพิ่งมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ “ฮาวทูทิ้ง…ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ”

โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ



ที่มาภาพ: https://thestandard.co/happy-old-year-4/


ผมเพิ่งมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ “ฮาวทูทิ้ง…ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ”
ก็ทำให้คิด ๆ อะไรต่อเนื่อง

ผมเป็นคนที่ทิ้งอะไร ๆ ได้ยากมานาน เพราะมีความเชื่อว่าทุกวัตถุสิ่งของล้วนบรรจุประวัติศาสตร์และความทรงจำของเราและผู้อื่นอยู่เสมอ

เมื่อผมได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “ฮาวทูทิ้ง…ฯ” ก็พบว่าความคิดของผมไม่น่าจะใช่แค่คิดไปคนเดียว แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายคิดเช่นนั้น (หรือว่าไม่จริง?)
ความรู้สึกของตัวละครในภาพยนตร์ที่สื่อออกมานั้น ทำให้คิดต่อได้ว่า การ “ทิ้ง” นั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปรอย่างไรบ้าง ทิ้งแล้วเหลืออะไร อะไรคือสิ่งที่ยังคงอยู่ อะไรคือความเปลี่ยนแปลง เราสูญเสียอะไรไป และเราได้อะไรกลับมาบ้าง

ในบางครั้งการ “คืน” ของบางสิ่ง หรือความรู้สึกบางอย่าง กับเจ้าของเดิม อาจนำไปสู่ความหมายเดียวกันกับคำว่า “ทิ้ง” เมื่อการคืนของคือการทิ้งของ แล้วอะไรเล่า คือสิ่งที่คืนไม่ได้
ใช่ครับ คืนไม่ได้ คือ “เวลา” และ “ความทรงจำ”

เวลาเป็นสิ่งหนึ่งที่เรียกกลับคืนไม่ได้ เช่นเดียวกับความทรงจำที่สลัดอย่างไรก็ไม่หายไปจากจิตใต้สำนึกของเรา

ภาพยนตร์ไม่ได้ชี้นำให้เราต้องคิดแบบในตัวละครเสมอไป การดำเนินไปของตัวละครจึงเป็นไปอย่างกลาง ๆ และมีผู้ชมเป็นเพียงผู้เฝ้าดูไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกที่มีต่อตัวละคร มากกว่าให้เราเข้าไปร่วมกับตัวละครนั้น ๆ
แต่การเฝ้าดูตัวละครดำเนินไปและมีจุดสะกิดความรู้สึกอยู่หลายครั้งก็อาจทำให้เรารู้สึกจุกขึ้นมาได้ นั่นเป็นเพราะ การดำเนินเรื่องที่ไม่ได้ปูพื้นฐานของเรื่องราวตัวละครแต่ละตัวอย่างเปิดเผย แต่การเปิดเผยเรื่องราวต่าง ๆ ของตัวละคร ขึ้นอยู่กับวัตถุที่ถูกคืน หรือนัยหนึ่งก็หมายถึงการทิ้งนั่นเอง

ภาพของความทรงจำกับถ้อยความที่ออกมาจากตัวละครประกอบทุกตัวจึงคอยกระแทกไปในความรู้สึกของเราเสมอ และหวนให้เราทบทวนขบคิดกับตัวเองถึงเวลาและความทรงจำของเราที่ผ่านมาในแต่ละวัน
เมื่อใดก็ตามที่เราเป็นผู้ที่ต้องทิ้งสิ่งใด ในด้านหนึ่งเราเองก็จะถูกทิ้งจากสิ่งนั้น ๆ เสมอ หรือกล่าวอย่างง่าย ๆ คือ เมื่อเราทิ้งสิ่งใด เราเองก็เป็นผู้ถูกทิ้งจากสิ่งนั้น

หลายครั้งที่การพยายามทิ้งมิใช่อะไรอื่นมากไปกว่าการ “ลืม” เพื่อจะตอบตัวเองได้ว่า “ฉันได้เกิดใหม่” อีกครั้ง การทิ้งเพื่อลืมจึงหมายการเลือกที่จะคัดสรรบางสิ่งให้คงอยู่และบางสิ่งต้องหายไป (แต่มันไม่เคยหายไปจากความทรงจำที่มีกาลเวลาเป็นผู้สร้าง)

การทิ้งและการถูกทิ้งจึงเป็นสถานะเดียวกัน มันคือสถานะของการศิโรราบกับความเปลี่ยนแปลงโดยตัวเราเองเป็นผู้สร้าง ขณะเดียวกันมันนำพาไปสู่โลกของความโดดเดี่ยวมากขึ้น เมื่อความโดดเดี่ยวเกิดขึ้นจึงอาจนำไปสู่ความพึงพอใจต่อตัวเองมากขึ้น ทว่าความทรงจำจะยังฝังรากอยู่ในจิตใต้สำนึกเราโดยไม่หายไปไหน

สุดท้ายจึงนำไปสู่การ “move on” หรือ “เดินต่อไป” แม้ความทรงจำจะเกาะเกี่ยวกับเราอยู่เสมอ
การเดินต่อไปจึงไม่ได้หมายถึง “การลืม” หากแต่เป็นการยอมรับซึ่งความแปรเปลี่ยนไปของสภาวะทั้งของผู้ทิ้งและสิ่งที่ถูกทิ้ง การเดินต่อไปเทียบเท่ากับการเยียวยาให้สถานการณ์ของชีวิตดีขึ้นในแบบที่มันเป็นไปเอง

บางครั้งการ “ทิ้ง” อย่างไร ไม่เท่ากับการ “เดินต่อไป” อย่างไร
เพราะสุดท้ายการทิ้งอาจทำได้เพียงสิ่งของและสสารต่าง ๆ ในโลก
ทว่าความทรงจำมันยังคงสร้างตัวเองอยู่เสมอในโลกภายในใจของเรา

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563

ชายหนุ่ม กับ เพื่อนเก่า

โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ
.
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้…
.
ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาเพิ่งเลิกกับคนรักของเขาในค่ำคืนที่แสงจันทร์ถูกดูดไปไปกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นร้าย
เขาไม่ทราบได้ว่าคำคืนอันแสนหดหู่นั้น เกิดขึ้นจากความรู้สึกของตัวเองที่จมดิ่งเข้าสู่รัตติกาลของอารมณ์ หรือเป็นเพราะหวาดผวากับฝุ่นร้ายที่ปกคลุมราตรีให้ปราศจากแสงของดารา
.
น้ำสีอำพันใสกร่าวแกร่งเจิดจรัสในแก้วใบน้อยวาววับกระชับในมือของเขา ขัดกับบรรยากาศที่ชวนหลับไหลของหมู่อาคารสูงที่ไฟสลัว
.
“นี่ก็ดึกแล้วใช่มั๊ย ทำไมคุณไม่หลับเสียละ” เสียงกังวานของเพื่อนสนิทของเขาที่ห่างหายไปนานปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า สะท้อนเงาลงบนน้ำสีกระจ่างวาวในแก้วใบเดิมที่กลั้วด้วยน้ำแข็งสองก้อน
“เพราะเมื่อนอนหลับลง ผมคงมิอาจฝันดีได้ หากคืนนี้ร้อนบัดซบ” เขาตอบเพื่อนผู้หายหน้าไปนานในเงามืด ซุกซ่อนหยาดน้ำตาที่ระเรื่ออยู่บนขอบตาล่างอย่างอ่อนล้า
“ดื่มสักนิด คงไม่เป็นไร แต่ดื่มมากไป ใจคุณก็คงร้อนมากกว่าร่างกายของคุณเอง” เพื่อนผู้แสนดีพูอย่างแผ่วเบา ทว่าให้ความอบอุ่มอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ เพ่งมองแก้วแวววาวนั้น แล้วยกขึ้นกระดกขึ้นอย่างช้า ๆ เสียงของก้อนน้ำแข็งกระทบกัน เสียงของก้อนน้ำแข็งเคลื่อนในแก้วใส ดังอย่างกังวาล ทว่าเศร้าระทด
เขาค่อย ๆ เอ่ยอย่างเงียบ ๆ “หายไปเสียนาน ทำไมคุณถึงมาตอนนี้”
“ถ้าไม่มาตอนนี้ แล้วให้มาตอนไหน” เพื่อนของเขาตอบสวนออกมาทันทีที่เขาเอ่ยออกไป
“อืม ก็คงใช่ ผมเองไม่ค่อยได้นึกถึงคุณเท่าไรนักก่อนหน้านี้ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย” เขาเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดมหันต์
“ไม่เป็นไร ก็ตอนนี้ผมมาแล้ว คุณมีอะไรจะเล่าให้ฟังบ้าง มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในช่วงที่เราไม่ได้พบกันเลย” เพื่อนของเขาชวนสนทนาต่อด้วยความใคร่รู้
“ก็มีบ้าง สุข ทุกข์ เฉย ๆ ตามปกติโดยทั่วไป แต่ช่วงนี้ก็หนักหน่อย เรื่องราวมากมาย” เขาเริ่มเปิดใจ
“ผมเข้าใจดีว่าคุณรู้สึกยังไง จะพูดก็ได้ ไม่พูดก็ไม่เป็นไร ขอให้คุณสบายใจ ผมก็สบายใจ แล้วมีอะไรจะเล่าอีกบ้างละ” เพื่อนเขาเริ่มปลอบใจที่แตกสลายของเขาด้วยความรู้สึกเห็นใจ
“เรื่องมันก็มีอยู่ว่า…” เขาเริ่มเล่าเรื่องของเขาเองที่ได้ไปผจญภัยในทะเลแห่งชีวิตและความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุขและความทุกข์
.
เขาคุยกับเพื่อนสนิทที่ห่างหายไปนานราวกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงพวกเขาสองคน ทั้งยิ้ม หัวเราะ เศร้า และหลั่งน้ำตา
ถ้อยคำที่สนทนากันดำเนินไปพร้อมกับการเติมน้ำอำพันที่ค่อย ๆ พร่องไปทีละแก้ว ๆ จนเขารู้สึกมึนเมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และผล่อยหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว
.
เช้าวันต่อมา
เขาตื่นขึ้นอย่างกระชุ่มกระชวยผิดกับเมื่อคืนที่ดื่มอย่างหนักหน่วงราวกับไม่เคยได้ลิ้มลองสุรานำเข้าจากยุโรปที่มีคนรู้จักได้หยิบยื่นให้เมื่อนานมาแล้ว
เขามองไปรอบ ๆ ห้องอันว่างเปล่าเพื่อหาเพื่อนสนิทของเขาที่หาสไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาเริ่มเศร้าและเหงาจับใจที่เพื่อนทิ้งกันไปโดยไม่บอกลา
.
เขาสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป เพื่อเข้าไปห้องน้ำทำธุระส่วนตัวก่อนออกไปทำงานในเช้าวันนี้
เขาหยิบแปรง บีบหลอดสีฟันที่เปิดค้างไว้ ยาสีฟันสีขาวรสชาติบาดลิ้นค่อย ๆ คลานออกมาจากหลอดอย่างช้า ๆ เอื่อย ๆ เหมือนว่ามันจะขี้เกียจสำหลับวันใหม่ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
เขาเงยหน้าขึ้นมองกระจกในห้องน้ำพร้อม ๆ ไปกับเอาแปรงสีฟันในมือค่อย ๆ เคลื่อนไป ๆ มา ๆ ลงบนฝันสีครีมของเขาอย่างช้า ๆ
แล้วเขาก็ต้องตกใจพร้อมอุทานต่อหน้ากระจกใสในห้องน้ำนั้น
“เอ้ย ผมนึกว่าคุณไปแล้วเสียอีก ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะ”
.
เขาแปรงฟันด้วยความสุข และยิ้มให้กับเพื่อนที่อยู่ในกระจก
ทั้งคู่ยิ้มตอบให้แก่กัน
.