กิตติธัช
ศรีฟ้า
อาจารย์ประจำ
สาขาวิชาการออกแบบสื่อดิจิทัล คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
บทคัดย่อ
ตลาดหนองมนเป็นชุมชนเก่าแก่
ที่เคยเฟื่องฟูมาก่อนที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 โดยชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนค้าขายอย่างแท้จริง สังเกตได้จากรูปแบบอาคารที่ปรากฏอยู่ในตลาดแห่งนี้
ตั้งแต่อาคารยุคแรกจนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าเป็นอาคารพาณิชย์ทั้งสิ้น
และที่น่าสนใจที่สุดคือ ตลาดหนองมนมีอาคารพาณิชย์ทุกแบบ กล่าวคือ มีทุกยุค
ตั้งแต่เริ่มแรกที่เป็นห้องแถวชั้นเดียว และพัฒนาการมาจนเป็นตึกแถวแบบหลายชั้น
ซึ่งโดยปกติในชุมชนอื่นมักจะมีไม่ครบทุกยุคสมัยเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อาคารพาณิชย์ในหนองมนจึงสามารถเล่าเรื่องราวของตนเองผ่านสถาปัตยกรรมได้อย่างน่าสนใจ
ทำให้เรามองเห็นช่วงกำเนิด รุ่งเรือง และการหยุดนิ่ง ได้อย่างชัดเจน
คำสำคัญ
ห้องแถว
ตึกแถว หนองมน
หลักการและเหตุผล
หนองมนเป็นชุมชนค้าขายที่เคยรุ่งเรืองมากในอดีต
สมัยที่บางแสนยังได้รับความนิยมเรื่องสถานที่ตากอากาศ ก่อนที่จะเกิดภาวะเศษฐกิจ
พ.ศ.2540
หนองมนเงียบเหงาลงเพราะพิษเศษฐกิจ
หากแต่ก็ยังคงอยู่ได้ในฐานะแหล่งการค้า ถึงแม้จะไม่รุ่งเรืองอย่างที่เคย
แต่ก็ยังไม่เคยตายไปเหมือนตลาดโบราณในหลาย ๆ แห่ง
หนองมนมีสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นอาคารพาณิชย์ ที่น่าสนใจคือ อาคารพาณิชย์ในหนองมนมีตั้งแต่ห้องแถวในยุคแรกของการมีอาคารพาณิชย์
และมีทุกรูปแบบในพัฒนาการของตึกแถว จึงทำให้เห็นได้ว่า วัฒนธรรมการค้าในหนองมน
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยตาย ไม่เคยหยุดนิ่ง
ชุมชนหนองมนเคลื่อนไหวตามแรงเศษฐกิจ นั้นแสดงให้เห็นได้ว่าชุมชนแห่งนี้คือ “ชุมชนแห่งการค้าขายอย่างแท้จริง”
ดังนั้นการศึกษาเรื่องอาคารพาณิชย์ในชุมชนแห่งนี้ จะทำให้เข้าใจพัฒนาการทางเศษฐกิจผ่านรูปแบบสถาปัตยกรรมได้เป็นอย่างดี
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาหาความเป็นมาทางสถาปัตยกรรมอาคารพาณิชย์
2. เพื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์สำคัญกับสถาปัตยกรรมในหนองมน
3. เพื่อศึกษาพัฒนาการรูปแบบอาคารพาณิชย์ในหนองมน
ขอบเขตเรื่อง
บทความฉบับนี้มุ่งประเด็นไปที่
รูปแบบสถาปัตยกรรมอาคารพาณิชย์ ในบริเวณตลาดหนองมนเป็นหลัก
เพื่อศึกษาพัฒนาการของสถาปัตยกรรมอาคารพาณิชย์
และนำไปเทียบเคียงกับสถาปัตยกรรมอาคารพาณิชย์ในกรุงเทพฯ
รวมไปถึงเทียบเคียงกับเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ
ที่มีผลให้เกิดการเป็นแปลงในด้านการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ดังกล่าวในหนองมน
นิยามศัพท์
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2554
ได้ระบุ ถึงความหมายของ “ตึกแถว” ซึ่งหมายรวมถึง “หอง แถว” ไวดังนี้
“ตึกแถว
น. อาคารที่ก่อด้วยอิฐฉาบปูนหรือ คอนกรีตทำเป็นห้อง ๆ เรียงติดกันเป็นแถว,
หอง แถวก็เรียก” อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวงและขอบัญญัติทองถิ่นที่ออก
ตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้กำหนดนิยามของ
“ตึกแถว”
และ “ห้องแถว ” ที่แตกต่างกันตามวัสดุที่ใชสำหรับก่อสร้างกล่าวคือ
“ตึกแถว”
หมายความวา อาคารที่พักอาศัยหรือ อาคารพาณิชย์ยซึ่งปลูกสร้างติดต่อกันเป็นแถวเกินกว่าสองหอง
และประกอบด้วยวัตถุถาวรและทนไฟเป็นส่วนใหญ่ และ
“ห้องแถว”
หมายความว่า อาคารที่พักอาศัยหรือ อาคารพาณิชย์ยซึ่งปลูกสร้างติดต่อกันเป็นแถวเกินกว่าสองห้องและประกอบด้วยวัตถุอันไม่ใช่วัตถุทนไฟเป็นส่วนใหญ่
บทความ
“ตลาดหนองมน”
เป็นชื่อเรียกสถานที่แห่งหนึ่งในตำบลแสนสุข จังหวัดชลบุรี
มีลักษณะเป็นชุมชนเก่าแก่ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดชลบุรีประมาณ 11 -12 กิโลเมตร
และอยู่ห่างจากทางแยกเข้าหาดบางแสนเพียงประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ ในอดีตตลาดหนองมนนับเป็นแหล่งการค้าที่
เจริญมากที่สุดในจังหวัดชลบุรี ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินกันเต็มไปทั้งตลาด
โดยส่วนมากมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อของฝากไปให้ญาติพี่น้อง โดยตลาดแห่งนี้เป็นตลาดขายสินค้าพื้นเมือง
และของที่ระลึกที่มีชื่อของจังหวัดชลบุรี ได้แก่ อาหารแห้ง เช่น กุ้ง ปลาหมึก
หอยหลอด ปลาลิวกิว กะปิ น้ำปลา ฯลฯ ขนม และอาหารสำเร็จรูป เช่น ห่อหมก กล้วยฉาบ
เผือกฉาบ ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม และขนมหวานนานาชนิด เช่น ข้าวหลาม ขนมจาก
ขนมไทยต่าง ๆ และ เครื่องจักรสานที่ทำจากไม้ไผ่ หรือหวายที่มาจากอำเภอพนัสนิคม
ซึ่งมีฝีมือการสานประณีตละเอียด
ตลาดหนองมนในอดีต
ผู้เริ่มก่อตั้งหรือเป็นเจ้าของตลาดนั้นเป็นคหบดีชาวจีน เริ่มจากก่อสร้าง “ห้องแถว”
ให้เช่า (ภายในที่ดิน) ห้องแถว” หมายถึง อาคารที่พักอาศัยหรือ อาคารพาณิชย์ยซึ่งปลูกสร้างติดต่อกันเป็นแถวเกินกว่าสองห้องและประกอบด้วยวัตถุอันไม่ใช่วัตถุทนไฟเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีห้องแถวขึ้นมาก็มีคนมาอยู่อาศัย
มีการค้าขาย มีร้านกาแฟ ร้านขายอาหารจีน ร้านขายของ ร้านตัดผม ร้านขายยา ร้านรับตัดเสื้อผ้า
ร้านขายของชำ ร้านขายส่งสินค้าไปตามชุมชนชาวไทยที่ห่างออกไป มีส่วนกลางที่เป็นตลาดขายผักสด
อาหารสด มีเขียงหมู เขียงเนื้อสด เป็นต้น
โดยห้องแถวในระยะแรกของตลาดหนองมนนั้น
เป็นลักษณะเรือนแถวไม้ชั้นเดียวต่อมามีพัฒนาการณ์เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น
และพัฒนามาเป็นเรือนแถวครึ่งปูนครึ่งไม้สองชั้น โดยชั้นล่างก่อปูน
และชั้นบนเป็นไม้มีระเบียงด้านหน้าเพิ่มขึ้นมา ต่อมากลายเป็นอาคารปูนสองชั้นเรียงต่อกันเป็นแถว
และภายหลังมีการสร้างอาคารปูนมากขึ้น ซึ่งเริ่มมีความสูงมากกว่าสองชั้นขึ้นไปมากขึ้นเรื่อย
ๆ ตามการเติบโตของเศรษฐกิจของชุมชน จนเราเรียกกันว่า “ตึกแถว”
ภาพที่ 1 ห้องแถวไม้ชั้นเดียว
ที่มาภาพ: กิตติธัช ศรีฟ้า ภาพลายเส้นห้องแถวไม้ชั้นเดียวในตลาดหนองมน
เมื่อกล่าวถึง
“ตึกแถว” เข้าใจว่าผู้คนคงนึกภาพออกได้ไม่อยากนัก และเข้าใจว่าหลายคนคงนึกถึงอาคารพาณิชย์ที่วางเรียงตัวกันอย่างต่อเนื่อง
มีรูปแบบเหมือน ๆ กัน ใช้ผนังร่วมกัน มีความสูงเท่ากัน ซึ่งนั้นเองคือเอกลักษณ์สำคัญของตึกแถว
“ตึกแถว” เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า “อาคารพาณิชย์” (shophouse)
ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นประเภทหนึ่งของทั้งคนพื้นเมือง
และคนเมือง มักมีโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยวิวัฒนาการมาจากห้องแถวไม้ของชาวจีนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยห้องแถวไม้ดังกล่าวยังคงพบเห็นอยู่ที่ตลาดหนองมนบางส่วน
ซึ่งจากการสอบถามคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณตลาด หนองมนจึงได้ข้อมูลเบื้องต้นมาว่า
เรือนแถวไม้ชุดแรก ๆ เป็นเรือนแถวไม้ชั้นเดียว เดิมทีบริเวณพื้นมิได้เป็นปูน
หากแต่เป็นเพียงพื้นดินอัดแน่น กำแพงทำด้วยไม้ ประตูเป็นแผ่นไม้เรียงต่อกันที่ละแผ่นในรางที่ทำจากไม้
หลังคามุงด้วยจาก ต่อมาจึงเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคามาเป็นสังกะสี และเทพื้นปูน
หลังจากยุคเริ่มแรกของเรือนแถวไม้ในตลาดหนองมน
ซึ่งเดิมที่เป็นการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันภายในชุมชนของตนเอง
และชุมชนใกล้เคียงเป็นหลัก หากแต่หนองมนอยู่ใกล้ “หาดบางแสน”
ซึ่งเป็นสถานที่ต่างอากาศในยุคแรก ๆ บางแสน เดิมเป็นชายทะเลรกร้าง ตั้งอยู่ใน
ตำบลแสนสุข กระทั่ง พ.ศ.2486 เริ่มให้มีการสร้างสถานตากอากาศขึ้นมีการสร้าง โรงแรม
และ ที่พักต่าง ๆ ดำเนินการโดยบริษัทแสนสำราญ จึงเรียกว่าสถานตากอากาศแสนสำราญตามชื่อบริษัท
ต่อมาใน พ.ศ. 2503 จึงโอนให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเปลี่ยนชื่อเป็น
สถานตากอากาศบางแสน จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาภายในพื้นที่
ส่งผลให้เกิดความเจริญทางเศษฐกิจการค้าภายในตลาดหนองมนอย่างต่อเนื่อง
จนเริ่มมีการค้าขายให้กับนักท่องเที่ยวในช่วงประมาณปี 2๕15 มีผลทำให้ความต้องการแหล่งค้าขายรวมถึงที่พักอาศัยเพิ่มมากขึ้น จนไม่เพียงพอต่อความต้องการ
จึงมีการสร้างเรือนแถวไม้เพิ่มเติม โดยใช้โครงสร้างแบบเดิมหากแต่มีสองชั้น
กล่าวคือ ยังคงเรือนแถวไม้หากแต่เป็นสองชั้นโดยใช้ชั้นล่างขายของส่วนชั้นบนนั้นเป็นที่พักอาศัย
มีการปูพื้นปูนและกระเบื้อง กำแพงยังคงทำด้วยไม้
ประตูเป็นแผ่นไม้เรียงต่อกันที่ละแผ่นในรางที่ทำจากไม้เช่นเดิม
หลังคามุงด้วยสังกะสี และยังไม่มีระเบียงด้านหน้า ซึ่งในยุคเรือนแถวไม้สองชั้นยุคแรกนี้
เรือนแถวไม้ยังไม่เน้นความสวยงามมากนัก หากแต่เน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก
ภาพที่
2 เรือนแถวไม้สองชั้น
บริเวณชั้นสองยังไม่มีระเบียงด้านหน้า
ที่มาภาพ:
กิตติธัช ศรีฟ้า ภาพวาดลายเส้นเรือนแถวไม้สองชั้น
บริเวณชั้นสองยังไม่มีระเบียงด้านหน้าในตลาดหนองมน
ซึ่งต่อมาเมื่อการค้าขายดีขึ้นตามลำดับ
เรือนแถวชุดใหม่ก็เกิดขึ้นโดยมีโครงสร้างทุกอย่างใกล้เคียงของเดิมทุกอย่าง
หากแต่มีการเพิ่มเติมระเบียงด้านหน้าบ้านบริเวณชั้นสอง
ในขณะเดียวกันนี้ก็พบว่าเกิดเรือนแถวชุดใหม่ขึ้น
ซึ่งคาดว่าร่วมสมัยกันกับเรือนแถวไม้สองชั้นมีระเบียงที่ชั้นสอง กล่าวคือ
พบว่ามีเรือนแถวในลักษณะเดียวกันหากแต่ชั้นล่างก่ออิฐถือปูแล้ว
จึงเรียกว่าเรือนแถวครึ่งไม้ครึ่งปูน มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน
มีระเบียงที่หน้าบ้านชั้นสองเหมือนกัน
ต่างกันเพียงชั้นล่างที่มีการก่ออิฐถือปูนเท่านั้นเอง
ต่อมาราว
พ.ศ. 2525 โดยเทียบเคียงกับสถาปัตยกรรมของตึกแถวในกรุงเทพฯ
พบว่ามีเรือนแถวที่ก่อสร้างด้วยปูนทั้งหลัง มีลักษณะสองชั้น
หลังคามุงด้วยกระเบื้อง ยังไม่มีดาดฟ้า และงานออกแบบเป็นลักษณะเหลี่ยมมุมคล้ายกล่อง
ยุคนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคของ “ตึกแถว” ช่วงแรกใน ตลาดหนองมน ที่มีการก่ออิฐถือปูน
ต่อมาห้องแถวไม้เก่าในยุคแรก ๆ เริ่มชำรุดทรุดโทรมจึงมีการรื้อทิ้ง
และสร้างตึกแถวขึ้นจำนวนมากในตลาดหนองมน
“ตึกแถว” ที่มีลักษณะก่ออิฐถือปูนนั้น ตามหลักฐานที่พบ
มีข้อสันนิษฐานว่า “ตึกแถว” เกิดขึ้นในประเทศไทยพร้อมถนนสายแรกในประเทศไทยนั้นคือ “ถนนเจริญกรุง”
ซึ่งเป็นถนนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี
พ.ศ. 2404 โดยพื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นของบรรดาเจ้าขุนมูลนาย
และหน่วยราชการ โดยในอดีตคนไทยส่วนใหญ่เดินทางสัญจรกันทางน้ำเป็นหลัก เศรษฐกิจกิจหรือแหล่งการค้าจึงเจริญอยู่ตามชายคลอง
แต่เมื่อมีการตัดถนนขึ้น ทำให้การสัญจรเปลี่ยนรูปแบบไป เศรษฐกิจหรือแหล่งการค้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
เมื่อการค้าย้ายแหล่งจากชายคลองมาอยู่บนถนน
บรรดาเจ้าขุนมูลนายจึงสร้างเป็นตึกแถวให้คนยากจนเช่า และทำเป็นสัญญาระยะยาว เช่น
บริเวณเวิ้งนาครเขษม หรือชุมชนหวั่งหลี
ที่มีรูปแบบตัวตึกที่อยู่ติดกันตลอดแนว โดยใช้ผนังร่วมกัน
ด้านในที่ไม่ติดถนนก็เป็นบ้านพักอาศัยธรรมดา
แต่ส่วนที่อยู่ติดถนนหรือหัวมุมก็มักจะเป็นร้านของขาย
จนกลายเป็นต้นแบบของตึกแถวของพื้นที่ต่อ ๆ มา
ต่อมาเมื่อถึงยุคที่ต้องเร่งสร้างเมือง
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงนั้น ในระยะแรกบ้านเมืองมีซากปรักหักพังอยู่มาก
จึงจำเป็นต้องบูรณะ และเริ่มสร้างอาคารที่พักอาศัยกันครั้งใหญ่
ตึกแถวเป็นตัวเลือกแรก ๆ เนื่องจากสร้างง่าย แข็งแรง และสามารถทำการค้าได้
ถัดมาในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นยุคทองในเรื่องการตื่นตัว และเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสูงสุด
เห็นได้จากมีการร่างแผนพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ขึ้นมา
เพื่อรองรับการเติบโตของเมือง รวมไปถึงการจัดตั้งหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมาอย่างเช่น กองเคหสถาน กรมประชาสงเคราะห์
หรือธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยผลพวงหนึ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็คือการขยายตัวด้านอสังหา 'ตึกแถว' รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่า 'แฟลต' จำนวนมาก
เมื่อประเทศไทยผ่านยุคที่ต้องเร่งสร้างเมืองมาได้
ก็ถึงเวลาก้าวเข้าสู่ ยุคที่ความเจริญเรียกหา หลังจากที่ประเทศไทย
ผ่านวิกฤตทางการเมืองช่วงปี 2519 มาได้ เริ่มมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
พื้นที่หลายแห่งกลายเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญของ เช่น สุขุมวิท เพชรบุรี หรือสีลม
ก็ตามที มีผลทำให้ราคาที่ดินพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้เองบรรดาเจ้าของที่ดินเหล่านี้
จึงถือโอกาสสร้างตึกสูงเพื่อรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
อีกทั้งลดระยะเวลาทำสัญญาเช่าให้เหลือเพียงแค่ 2-3 ปีเท่านั้น ในขณะเดียวกันโครงการทางด้านคมนาคมต่าง
ๆ ก็มีการพัฒนาขึ้น ทั้งรถไฟลอยฟ้า และใต้ดิน มีผลให้เกิดการก่อสร้างคอนโดมิเนียมขึ้นจำนวนมาก
หากแต่ว่าตึกแถวเองก็ยังคงได้รับความสนใจจากพ่อค้าแม่ขาย
เนื่องจากยังคงทำการค้าได้ตามหน้าอาคาร
ซึ่งยุคนี้เองที่คาดว่าส่งอิทธิพลงานออกแบบตึกแถว มายังตลาดหนองมน ระยะนี้ตลาดหนองมนเจริญสุดขีด
และเป็นตลาดที่ได้มาตรฐาน ในสมัยที่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรี
เนื่องจากในช่วงนั้นระบบเศรษฐกิจภายในประเทศดีมาก มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
การก่อสร้างตึกแถวในตลาดหนองมนก็ขยายตัวตามเศษฐกิจ จนมีการสร้างตึกแถวที่มีมากกว่าสองชั้นและมีดาดฟ้า
ภาพที่
3 ตึกแถวในยุค
ที่ก่ออิฐถือปูนทั้งหลัง
ที่มาภาพ: กิตติธัช ศรีฟ้า ภาพถ่ายตึกแถวในยุค
ที่ก่ออิฐถือปูนทั้งหลัง ที่ตลาดหนองมน
และเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างหวัง
ประเทศไทยเข้าสู่ยุคฟองสบู่แตก ในช่วงปี 2540 ระยะนี้ตึกแถวเริ่มไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ผ่านมา
เนื่องจากมีอาคารอยู่อาศัยแบบใหม่เกิดขึ้นที่เรียกว่า “ทาวน์เฮาส์” ซึ่งเหมาะสมชนชั้นกลาง
ไม่ว่าจะด้วยขนาด และราคา ที่เหมาะสมกับช่วงที่ประเทศไทยเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ
ทำให้เกิดมีเหตุตึกแถวร้าง ไม่มีใครเข้าไปใช้ประโยชน์
โดยเฉพาะย่านเศรษฐกิจหลายแห่งที่ทำการค้าในตึกแถวพากันปิดเงียบไป รวมทั้งหนองมนก็พบกับปัญหานักท่องเที่ยวซบเซาเช่นกัน
ส่งผลให้การก่อสร้างต่าง ๆ หยุดชงักไปหมด
ดังนั้นเราจึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตึกแถวในบริเวณตลาดหนองมนมากนัก
มิหนำซ้ำยังเริ่มเกิดตึกแถวร้างในตลาดหนองมน บริเวณที่ยังทำการค้าอยู่คงเหลือเพียงตึกแถวที่ติดกับถนนสุขุมวิทขาเข้าเท่านั้น
เมื่อผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
ปี 2540
มาแล้ว เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นตามลำดับ และกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง แต่ดูเหมือนสถานการณ์ของตึกแถวจะไม่คึกคักเช่นเคย
โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รูปแบบตึกแถวแบบดั้งเดิมเริ่มไม่มีการก่อสร้างรวมไปถึงมีการทุบทำลายบางส่วน
อาจเพราะมีการขยายของเมืองที่มากขึ้น และการพลิกโฉมของกิจการคอนโดมิเนียมตามเส้นทางสถานีรถไฟฟ้า
ที่มีขีดความสามารถจุคนได้มากกว่า ทำให้สะดวกต่อการคมนาคม
เจ้าของตึกแถวจำนวนไม่น้อยเริ่มขายตึกหรือไม่ก็ทุบทิ้ง แล้วเปลี่ยนมาสร้างคอนโดมิเนียมแทน
เช่นเดียวกับแหล่งพื้นที่ตึกแถวโบราณ ที่ทยอยหมดสัญญา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเห็นชุมชนโบราณที่เคยเรียงรายด้วยตึกแถวเริ่มหายไปทีละแห่งสองแห่ง
เช่น ชุมชนสามย่าน ซอยหวั่งหลี ฯลฯ ช่วงเวลาเดียวกันนี้ที่ตลาดหนองมนก็ยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง
นักท่องเที่ยวเริ่มหดหายเพราะพิษเศษฐกิจ เมื่อการค้าซบเซา
การพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ก็หยุดลง ดังนั้นเราจึงไม่เห็นตึกแถวรูปแบบใหม่ ๆ
หลังจากยุค พ.ศ. 2540 มากนัก จึงกล่าวได้ว่าจวบจนปัจจุบันการก่อสร้างตึกแถวในเมืองไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
เหลือเพียงตึกแถวดั่งเดิมที่เคยก่อสร้างมาเมื่อนานมาแล้ว
และยังคงใช้ประโยชน์ทางการค้าได้เท่านั้น
บรรณานุกรม