ภายหลังมรณกรรมของศาสตราจารย์ศิลป์
พีระศรี (พ.ศ.2505)
แนวทางสร้างสรรค์ศิลปะของศิลปินกลุ่มมหาวิทยาลัยศิลปากรก็เริ่มที่จะออกจากการสร้างผลงานศิลปะตามหลักวิชาแบบตะวันตก
(Academy) มากขึ้น แม้ว่าแนวทางศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) กับศิลปะคิวบิสม์ (Cubism) จะเป็นที่นิยมในหมู่ศิลปินจากมหาวิทยาลัยศิลปากรในสมัยที่ศาสตราจารย์ศิลป์
พีระศรียังมีชีวิตอยู่
หากแต่เมื่อเปรียบเทียบกับความเคลื่อนไหวของกระแสศิลปะสมัยใหม่ในประเทศตะวันตกแล้วก็นับว่าเป็นรูปแบบศิลปะที่ตามตะวันตกที่ล่าช้ากว่าจะเรียกว่าเป็นแนวทางที่ร่วมสมัยกัน
แนวทางศิลปะร่วมสมัยของโลกตะวันตกในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่
2 คือแนวทางศิลปะที่คลี่คลายไปสู่การลดทอนรูปร่างและรูปทรงจนเหลือเพียงทัศนธาตุที่ไม่แสดงออกถึงเนื้อหาและเรื่องราวที่ปรากฏในผลงาน
มุ่งหมายแสดงความงามอย่างสากลมากขึ้น ศิลปะประเภทนี้มีคำจำกัดความว่า
“ศิลปะแอ็บสแทร็ค” (Abstract Art) หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็น
“ศิลปะนามธรรม”
สำหรับสังคมไทยในยุคสมัยทศวรรษ 2490 – 2520 แล้ว
ศิลปะนามธรรมกลายเป็นของแปลกใหม่สำหรับศิลปินหนุ่มสาวในขณะนั้น
ซึ่งไม่เพียงเป็นแนวทางที่สะท้อนภาวะของความเป็นสมัยใหม่เท่านั้น
แต่ลักษณะรูปแบบของศิลปะนามธรรมยังได้แสดงออกถึงภาพที่เป็นสากลอีกด้วย
อันเนื่องจากผลงานศิลปะที่ปรากฏจะไม่บ่งชี้ความเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นวัฒนธรรมพื้นถิ่นหรือแสดงออกถึงเอกลักษณ์ประจำถิ่น
มุ่งหมายในการนำเสนอความงามที่ปราศจากการสื่อความหมายของสัญญะ
มุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบของภาพที่มีความลงตัวตามเจตจำนงของศิลปิน
สุธี คุณาวิชยานนท์ได้เขียนอธิบายความเคลื่อนไหวของศิลปะนามธรรมในยุคสมัยนั้นเอาไว้ว่า
ในระหว่างทศวรรษ 2490-2510 ศิลปะกึ่งนามธรรมและนามธรรมบริสุทธิ์ กลายเป็นตัวแทนของความสมัยใหม่
เป็นดั่งสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองความเป็นเสรีและปัจเจกชนของคนรุ่นหนุ่มสาว
ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าสังคมไทยโดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกลางได้ก้าวเข้าสู่สังคมแบบสมัยใหม่แล้วในระดับหนึ่ง...[1]
ในงานวิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปบัณฑิต
สาขาวิชาทฤษฎีศิลป์ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่อง “การศึกษายุคทองของศิลปะนามธรรมในประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ. 2506-2520” ของ มนตรี ชิดชมนุช ได้เขียนรายละเอียดถึงความเคลื่อนไหวศิลปะนามธรรมในประเทศไทยก่อนปี
พ.ศ. 2506 เอาไว้ว่า
ศิลปะนามธรรมในประเทศไทยก่อนปี
พ.ศ. 2506
นี้ เป็นช่วงเริ่มแรกของการปรากฏผลงานนามธรรม
จำนวนผลงานและศิลปินผู้สร้างสรรค์งานในลักษณะนี้มีไม่มากนัก
ในขณะนั้นศิลปินไทยส่วนใหญ่มักสร้างสรรค์งานในแบบลัทธิบาศกนิยม (Cubism) และลัทธิประทับใจนิยม (Impressionist) ผลงานนามธรรมที่ปรากฏขึ้นในช่วงนี้จึงถือเป็นความแปลกใหม่ที่น่าสนใจต่อวงการศิลปะของไทยเป็นอย่างมาก...ศิลปินที่สร้างสรรค์ศิลปะนามธรรมในประเทศไทยก่อนปี
พ.ศ. 2506 นี้มี อารี สุทธิพันธุ์ จ่าง แซ่ตั้ง และมีเซียม
ยิบอินซอย...[2]
สภาพการณ์ของการสร้างสรรค์ศิลปะสมัยใหม่ไทยแนวทางศิลปะนามธรรมในประเทศไทยก่อนปี
พ.ศ. 2506 นี้ ยังคงเป็นกระแสศิลปะที่มีความแปลกใหม่มาก
ซึ่งในขณะที่การสร้างสรรค์ศิลปะของอารี สุทธิพันธุ์มีแนวทางตามแบบศิลปะลัทธิสำแดงอารมณ์แนวนามธรรม
(Abstract
Expressionism)[3] ที่ได้รับอิทธิพลจากการที่ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่ จ่าง แซ่ตั้ง กลับได้รับแรงบันดาลใจจากการศึกษาปรัชญาตะวันออกอย่างลึกซึ้งด้วยพื้นฐานทางครอบครัวที่มาจากเมืองจีน[4] ซึ่ง
“อาจกล่าวได้ว่าในช่วงนั้น จ่างเป็นศิลปินไทยคนเดียวที่เขียนภาพแนวนามธรรม
โดยมีรากฐานที่มาจากรากเหง้าทางด้านวัฒนธรรมของจีน”[5]และเขายังเป็นกวีที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำอันโดดเด่นในการเขียนบทกวีรูปธรรม
(Concrete
Poetry) ที่ซื่อและบริสุทธิ์[6]โดยที่ความสามารถทั้งด้านจิตรกรรมและกวีนิพนธ์นั้น
จ่างล้วนศึกษาด้วยตนเองโดยไม่ผ่านสถาบันการศึกษาใดๆ ทั้งสิ้น
ในงานวิทยานิพนธ์เรื่อง “การศึกษายุคทองของศิลปะนามธรรมในประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ. 2506-2520” ของ มนตรี ชิดชมนุช ยังได้เขียนรายละเอียดถึงปัจจัยที่สำคัญของความเคลื่อนไหวศิลปะนามธรรมในประเทศไทยหลังปี
พ.ศ. 2506 เอาไว้ว่า
ศิลปะนามธรรมในประเทศไทยระหว่างปี
พ.ศ. 2506-2520
ถือได้ว่าเป็นยุคทองของการสร้างสรรค์ศิลปะในแนวทางนี้จากการที่ศิลปินไทยหลายท่านมุ่งสร้างสรรค์ผลงานนามธรรม
ทำให้ปรากฏผลงานนามธรรมเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้จากเวทีการแสดงศิลปกรรมต่างๆ
โดยเฉพาะในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ซึ่งมีระยะเวลาครอบคลุมระหว่างปี พ.ศ. 2506-2520...[7]
ปัจจัยที่สำคัญได้แก่
การศึกษาจากสถาบันศิลปะ การกำเนิดเวทีศิลปกรรมต่างๆ
รวมถึงกระแสศิลปะตะวันตกที่เข้าสู่ประเทศไทยในขณะนั้น ปัจจัยต่างๆ
ที่กล่าวมาถือเป็นส่วนสำคัญที่ส่งอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ และช่วยผลักดันให้ศิลปะนามธรรมเป็นรูปแบบศิลปะที่ศิลปินหลายท่านยึดถือเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์อย่างรวดเร็ว...ส่วนหนึ่งเกิดจากที่ศิลปินไทยหลายท่านพยายามค้นหาลักษณะเฉพาะในการสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง
ซึ่งรูปแบบนามธรรมเป็นรูปแบบที่มีความแปลกใหม่ในประเทศขณะนั้น จึงได้กลายเป็นแบบอย่างในการสร้างสรรค์ของศิลปินไทยหลายท่าน...[8]
ผลจากการติดต่อสื่อสารกับโลกตะวันตกที่ฉับไว
ทำให้ศิลปินหัวก้าวหน้าได้เดินทางไปดูงานและศึกษาต่อยังต่างประเทศ
หลังจากศิลปินเหล่านี้กลับมาก็ได้พยายามเผยแพร่และผลักดันศิลปะสมัยใหม่ของตะวันตกให้แพร่หลายในประเทศไทย...[9]
ในบทความเรื่อง “มรรคาของนามธรรม มรรคาของศิลปะสมัยใหม่” ของกฤษฎา
ดุษฎีวนิช ได้อธิบายลักษณะของศิลปะนามธรรมในประเทศไทยในยุคสมัยดังกล่าวเอาไว้ว่า
รูปแบบศิลปะดังกล่าวปราศจากการชี้นำทางความคิดหรือการพรรณนาถึงวัตถุ
แต่ในสิ่งที่ประจักษ์นั้นมีแต่ความสมบูรณ์ของทัศนธาตุที่เป็นรูปทรง เส้น สี
น้ำหนัก พื้นที่ว่าง
ซึ่งทำให้ผลงานศิลปะนามธรรมนั้นเป็นผลงานศิลปะที่มีความงามบริสุทธิ์...ศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะที่ปลอดจากพันธะทางสังคมเพื่อที่จะหาหนทางปลดปล่อยศิลปะให้มีอิสระและเสรี
ซึ่งเป็นไปตามคติของ “ศิลปะเพื่อศิลปะ”
ที่มิได้ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวรายรอบไม่ว่าจะเป็นลัทธิการเมือง/สังคมหรือรับใช้อุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่ง...[10]
ผลงานศิลปะนามธรรมในประเทศไทยในช่วงยุคสมัยดังกล่าวนี้
มีแนวทางทางจิตรกรรมหลักๆ 2
แนวทางคือเป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพลผลงานแนว “ฮาร์ด เอด์จ” (Hard Edge) เป็นผลงานศิลปะนามธรรมแบบเน้นความแบนเรียบ
รูปร่างหรือรูปทรงเป็นแบบขอบคม ไม่สร้างมิติความลึกลวงตา เช่นในผลงานจิตกรรรมของ
อิทธิ คงคากุล วิโรจน์ เจียมจิราวัฒน์ ชวลิต เสริมปรุงสุข พิษณุ ศุภนิมิตร เป็นต้น
ขณะที่อีกรูปแบบหนึ่งจะเน้นการแสดงออกด้วยการแสดงออกด้วยสีและฝีแปรงและนิยมทำร่องรอยของพื้นภาพอย่างอิสระ
ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบ “แอ็บแทร็ก เอ็กเพรสชั่นนิสม์” (Abstract
Expressionism) แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับแนวทางการสร้างสรรค์ของตน
เช่น ผลงานจิตกรรรมของปรีชา อรชุนกะ สมศักดิ์ เชาว์ธาดาพงษ์ และกัญญา เจริญศุภกุล
เป็นต้น
(ผลงานจิตกรรรมของปรีชา อรชุนกะ )
ส่วนทางด้านประติมากรรม
นับตั้งแต่มรณกรรมของศาสตราจารย์ศิลป์
พีระศรีก็เริ่มนิยมสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมในแนวนามธรรมมากขึ้น
โดยลดทอนภาพลักษณ์ที่เหมือนจริงตามแบบหลักวิชาไปสู่การคลี่คลายรูปลักษณ์ที่ไร้ความหมายเชิงสัญญะ
(Sign)
เพื่อแสดงคุณค่าของรูปทรงบริสุทธิ์ที่ไม่สื่อความหมายใดๆ
มากไปกว่าสุนทรียะทางทัศนธาตุ (Visual Element) เช่น
ผลงานของมีเซียม ยิบอินซอย ชลูด นิ่มเสมอ อินสนธ์ วงศ์สาม นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน
วิชัย สิทธิรัตน์ เขมรัตน์ กองสุข เป็นต้น
ช่วงระยะเวลาที่ศิลปะนามธรรมในประเทศไทยดำรงอยู่อย่างโดดเด่นเป็นยุคสมัยของศิลปะไทยสมัยใหม่ที่มีความสำคัญทั้งในด้านพัฒนาการเคลื่อนไหวของศิลปะตะวันตกในบริบทของสังคมไทยและแสดงให้เห็นถึงการผสานแนวคิด
“ศิลปะบริสุทธิ์” หรือ “ศิลปะเพื่อศิลปะ”
เข้ากับผลงานศิลปะนามธรรมที่เน้นไปที่การนำเสนอรูปแบบ (form) มากกว่าการนำเสนอความหมายเชิงสัญญะ
นั่นก็ย่อมหมายความว่าศิลปินนามธรรมไทยเองก็ตั้งใจที่จะตัดทอนคุณลักษณะของรูป (image)
ที่สื่อความหมายไปสู่รูปที่เน้นความงามในเชิงรูปทรงและยกย่องความสมบูรณ์ของการไม่สื่อความหมายของผลงานไปสู่การเข้าถึงแก่นของศิลปะที่แสดงคุณค่าทางสุนทรียะในตัวของผลงานเอง
ขณะเดียวกัน การสร้างความหมายของ
“ศิลปะบริสุทธิ์” หรือ “ศิลปะเพื่อศิลปะ” ภายใต้ร่มเงาของศิลปะนามธรรมทำให้
“ศิลปะบริสุทธิ์” หรือ “ศิลปะเพื่อศิลปะ”
กลายเป็นชุดคำเพื่อถูกนำไปใช้ตามบริบทของผู้ที่ต้องการบัญญัติขึ้น
เพราะแนวคิดดังกล่าวนี้หากอยู่ในยุคสมัยที่ศาสตราจารย์ศิลป์
พีระศรียังมีชีวิตอยู่นี้กลับกลายเป็นผลงานในประเภทเหมือนจริงตามอุดมคติหรือผลงานที่พัฒนาจากศิลปะตามหลักวิชามากกว่าจะเป็นศิลปะที่คลี่คลายไปสู่การสลายรูปทรงของความจริง
และเมื่อกลับมาพิจารณาชุดคำดังกล่าวนี้ในบริบทของศิลปะนามธรรมแล้วก็จะพบความสอดคล้องในด้านรูปลักษณ์ของผลงานที่ไม่สื่อสารถึงเรื่องราวใดๆ
มากไปกว่าคุณค่าทางความงามของตัวผลงานศิลปะชิ้นนั้นๆ เอง
นั่นย่อมเท่ากับว่าความหมายของ
“ศิลปะบริสุทธิ์” หรือ “ศิลปะเพื่อศิลปะ”
นั้นจึงเป็นเรื่องของวาทกรรมที่ถูกนำไปใช้ตามแต่ละบริบทมากกว่าเป็นกฎเกณฑ์หรือปรัชญาที่ตายตัว
ความหมายของชุดคำนี้จึงถูกสถาปนาด้วยวาระของการสร้างคุณค่าและความชอบธรรมในเชิงการเมืองของวงการศิลปะไทยสมัยใหม่กว่ากว่าเป็นการจัดแบ่งชุดรูปแบบศิลปะเพื่อช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ศิลป์เท่านั้น
[1] สุธี
คุณาวิชยานนท์, จากสยามเก่าสู่ไทยใหม่: ว่าด้วยความผลิกผันของศิลปะจากประเพณีสู่สมัยใหม่, พิมพ์ครั้งที่ 2, 96.
[2] มนตรี ชิดชมนุช, “การศึกษายุคทองของศิลปะนามธรรมในประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ. 2506-2520” (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปบัณฑิต
สาขาวิชาทฤษฎีศิลป์ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,
2551), 15.
[3] สุธี
คุณาวิชยานนท์, จากสยามเก่าสู่ไทยใหม่: ว่าด้วยความผลิกผันของศิลปะจากประเพณีสู่สมัยใหม่, พิมพ์ครั้งที่ 2, 73.
[4] มนตรี ชิดชมนุช, “การศึกษายุคทองของศิลปะนามธรรมในประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ. 2506-2520”, 16.
[5] เดือนฉายภู่ชนะ
ภู่ประเสริฐ, “จ่าง แซ่ตั้ง ขบถแห่งวงการศิลปะ” นิตยสารไฟน์อาร์ต, ปีที่ 3 ฉบับที่ 33 (สิงหาคม 2549):
38.
[6] วิรุณ
ตั้งเจริญ, ศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย (กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2534), 165.
[7] มนตรี ชิดชมนุช, “การศึกษายุคทองของศิลปะนามธรรมในประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ. 2506-2520”, 26.
[8] เล่มเดียวกัน,
81.
[9] เล่มเดียวกัน,
82.
[10] กฤษฎา
ดุษฎีวนิช, “มรรคาของนามธรรม มรรคาของศิลปะสมัยใหม่”, วารสารหอศิลป์
มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ภาพพิมพ์, 2554): 35-36.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น