วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สัมพันธ์บางอย่าง


โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ


ในเย็นวันหนึ่งที่ผมนั่งมองดวงอาทิตย์กลมสีส้มบางๆ ค่อยๆ เคลื่อนลงผืนทะเลที่เปลี่ยนเป็นสีเงินเข้ม ผมพลันนึกถึงความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างความเป็นไปของชีวิตมนุษย์และสรรพสิ่ง ด้านหนึ่งมันอาจจะเป็นเพราะเราเองได้ใช้อัตตาสร้างความคิดดังกล่าวขึ้นมา หรือบางทีสิ่งที่ผมคิดนั้นอาจจะมีความเป็นจริงบางส่วนก็เป็นได้

ในสภาพสังคมไทยที่เต็มไปด้วยมายาคติเป็นภาพของความอ่อนน้อมเจียมตัวนั้น ผมมิอาจจะกล่าวว่าเป็นสิ่งไม่ดี ในทางตรงกันข้ามผมมีทัศนะว่าท่าทีดังกล่าวข้างต้นนั่นเองที่เป็นส่วนที่ช่วยให้มนุษย์เราได้มีโอกาสหลีกหนีความขัดแย้งหลายๆครั้งได้อย่างแนบเนียน หากแต่เราคงปฏิเสธได้ยากเต็มทีว่าลักษณะท่าทีอ่อนน้อมประนีประนอมดังกล่าวในระยะยาวอาจจะเกิดปฏิกิริยาด้านตรงกันข้ามซึ่งซุกว่อนอยู่ภายใต้การกดทับของจารีตบางอย่างจนล้น

ผมมิอาจจะกล่าวว่าความขัดแย้งเป็นวิถีที่คู่ควรกับความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่ในสังคม และยังพาลคิดไปอีกว่ามนุษย์เองมีภาระที่จะรักษาสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองให้ดีที่สุด เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่นำไปสู่การตัดสินใจที่รุนแรง

แต่กระนั่นเองจากสภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสังคมไทยหรือสังคมอื่นๆ ผมกลับมีทัศนะบางอย่างที่อยากอธิบายเล็กน้อย นั่นคือหากมนุษย์เลือกให้สัมพันธภาพนั้นตั้งอยู่ในบริบทที่ไม่ได้ยึดถือในตัวตน และก้าวข้ามสู่การแสดงความเป็นเจ้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง น่าจะเป็นทางออกอย่างหนึ่งสำหรับปุถุชนผู้ที่ไม่ปรารถนาจะเสวนาพาทีกับใครมากนัก ซึ่งแนวทางดังกล่าวมีลักษณะเป็นปัจเจกวิถีที่มุ่งที่จะขจัดการเกี่ยวโยงกันระหว่างมนุษย์ และดูจะเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับท่าทีแบบที่เน้นสัมพันธภาพระหว่างกันจนดูเสมือนมนุษย์ได้ขาดสิ้นน้ำใจไมตรีต่อกัน

ขณะเดียวกันมนุษย์เราเองก็มิต้องพร่ำตัดพ้อกับตัวเองมากนักในการที่จะต้องรับผิดชอบต่อองค์รวม ซึ่งหากจะกล่าวแบบนี้ก็อาจจะทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าเป็นการเห็นแก่ตัวกันหรือไม่ แต่หากคิดกลับกันว่าตั้งแต่เบื้องแรกมนุษย์มีความเป็นปัจเจกภาพและเคารพในความเป็นปัจเจกภาพส่วนตัวของแต่ละคนแล้ว ประเด็นความเห็นแก่ตัวอาจจะไม่จำเป็นต้องเอามาเป็นข้อสงสัยหรือถกเถียง เพราะอาจจะไม่มีการเกิดความรู้สึกเช่นนั้น ซึ่งในทางเดียวกันผมกลับมองว่ามนุษย์อาจจะรู้สึกเงียบเหงามากกว่า ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างขาดความสัมพันธ์กับองค์รวมได้

ปัญหามันจึงอยู่ที่ว่าเราไม่สามารถที่จะหยุดให้ดวงอาทิตย์ตกหรือไม่ตกขอบทะเล แต่อยู่ที่ว่าภายใต้สภาวะความเป็นไปของดวงอาทิตย์ เราจะอยู่อย่างไรโดยไม่รู้สึกกับการเปลี่ยนแปลงและมองดวงอาทิตย์อย่างมีเหตุผลมากกว่าความรู้สึก ในทางเดียวกันก็เป็นคำถามว่า เราจะมีชีวิตอย่างไรภายใต้บริบทที่มากกมายในชีวิตโดยวางใจเป็นกลางและไม่โน้มเอียงไปสู่เรื่องราวที่ทำให้ใจของเราถูกคุมคามในสภาวะที่เราเองพยายามที่ไม่อยากจะไปสู่ความปัจเจกภาพอย่างไร้เยื่อใยโดยสมบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น