วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
สัมพันธ์บางอย่าง
โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ
ในเย็นวันหนึ่งที่ผมนั่งมองดวงอาทิตย์กลมสีส้มบางๆ ค่อยๆ เคลื่อนลงผืนทะเลที่เปลี่ยนเป็นสีเงินเข้ม ผมพลันนึกถึงความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างความเป็นไปของชีวิตมนุษย์และสรรพสิ่ง ด้านหนึ่งมันอาจจะเป็นเพราะเราเองได้ใช้อัตตาสร้างความคิดดังกล่าวขึ้นมา หรือบางทีสิ่งที่ผมคิดนั้นอาจจะมีความเป็นจริงบางส่วนก็เป็นได้
ในสภาพสังคมไทยที่เต็มไปด้วยมายาคติเป็นภาพของความอ่อนน้อมเจียมตัวนั้น ผมมิอาจจะกล่าวว่าเป็นสิ่งไม่ดี ในทางตรงกันข้ามผมมีทัศนะว่าท่าทีดังกล่าวข้างต้นนั่นเองที่เป็นส่วนที่ช่วยให้มนุษย์เราได้มีโอกาสหลีกหนีความขัดแย้งหลายๆครั้งได้อย่างแนบเนียน หากแต่เราคงปฏิเสธได้ยากเต็มทีว่าลักษณะท่าทีอ่อนน้อมประนีประนอมดังกล่าวในระยะยาวอาจจะเกิดปฏิกิริยาด้านตรงกันข้ามซึ่งซุกว่อนอยู่ภายใต้การกดทับของจารีตบางอย่างจนล้น
ผมมิอาจจะกล่าวว่าความขัดแย้งเป็นวิถีที่คู่ควรกับความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่ในสังคม และยังพาลคิดไปอีกว่ามนุษย์เองมีภาระที่จะรักษาสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองให้ดีที่สุด เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่นำไปสู่การตัดสินใจที่รุนแรง
แต่กระนั่นเองจากสภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสังคมไทยหรือสังคมอื่นๆ ผมกลับมีทัศนะบางอย่างที่อยากอธิบายเล็กน้อย นั่นคือหากมนุษย์เลือกให้สัมพันธภาพนั้นตั้งอยู่ในบริบทที่ไม่ได้ยึดถือในตัวตน และก้าวข้ามสู่การแสดงความเป็นเจ้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง น่าจะเป็นทางออกอย่างหนึ่งสำหรับปุถุชนผู้ที่ไม่ปรารถนาจะเสวนาพาทีกับใครมากนัก ซึ่งแนวทางดังกล่าวมีลักษณะเป็นปัจเจกวิถีที่มุ่งที่จะขจัดการเกี่ยวโยงกันระหว่างมนุษย์ และดูจะเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับท่าทีแบบที่เน้นสัมพันธภาพระหว่างกันจนดูเสมือนมนุษย์ได้ขาดสิ้นน้ำใจไมตรีต่อกัน
ขณะเดียวกันมนุษย์เราเองก็มิต้องพร่ำตัดพ้อกับตัวเองมากนักในการที่จะต้องรับผิดชอบต่อองค์รวม ซึ่งหากจะกล่าวแบบนี้ก็อาจจะทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าเป็นการเห็นแก่ตัวกันหรือไม่ แต่หากคิดกลับกันว่าตั้งแต่เบื้องแรกมนุษย์มีความเป็นปัจเจกภาพและเคารพในความเป็นปัจเจกภาพส่วนตัวของแต่ละคนแล้ว ประเด็นความเห็นแก่ตัวอาจจะไม่จำเป็นต้องเอามาเป็นข้อสงสัยหรือถกเถียง เพราะอาจจะไม่มีการเกิดความรู้สึกเช่นนั้น ซึ่งในทางเดียวกันผมกลับมองว่ามนุษย์อาจจะรู้สึกเงียบเหงามากกว่า ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างขาดความสัมพันธ์กับองค์รวมได้
ปัญหามันจึงอยู่ที่ว่าเราไม่สามารถที่จะหยุดให้ดวงอาทิตย์ตกหรือไม่ตกขอบทะเล แต่อยู่ที่ว่าภายใต้สภาวะความเป็นไปของดวงอาทิตย์ เราจะอยู่อย่างไรโดยไม่รู้สึกกับการเปลี่ยนแปลงและมองดวงอาทิตย์อย่างมีเหตุผลมากกว่าความรู้สึก ในทางเดียวกันก็เป็นคำถามว่า เราจะมีชีวิตอย่างไรภายใต้บริบทที่มากกมายในชีวิตโดยวางใจเป็นกลางและไม่โน้มเอียงไปสู่เรื่องราวที่ทำให้ใจของเราถูกคุมคามในสภาวะที่เราเองพยายามที่ไม่อยากจะไปสู่ความปัจเจกภาพอย่างไร้เยื่อใยโดยสมบูรณ์
วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ธงชาติในงานจิตรกรรม “เสรีภาพนำประชาชน” (Liberty Leading the People) ของ แฟร์ดีนองด์ วิคตอร์ เออแฌน เดอลาครัวซ์ (Ferdinand Victor Eugène Delacroix)
โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ (ส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ภาควิชาทฤษฎีศิลป์ ตามหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากรเรื่อง “ธงชาติไทยในศิลปะร่วมสมัย” ของสุริยะ ฉายะเจริญ)
เรื่องราวของภาพ “เสรีภาพนำประชาชน” เป็นการบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์การปฏิวัติในยุคสมัยการปกครองของพระเจ้าชาร์ลส์ที่10 แห่งฝรั่งเศส (Charles Philippe of France) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์บูร์บง (Maison de Bourbon) ครองราชย์ระหว่างค.ศ. 1824 - ค.ศ. 1830[3] อันเนื่องมาจากการละเมิดอำนาจของสภาของพระองค์ ทำให้มีการปกครองที่ล้มเหลวไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวของพระองค์ เป็นผลทำให้ประชาชนชนชั้นกลางเข้าร่วมมือกับพวกฝ่ายสาธารณรัฐ นิสิตนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยและกลุ่มผู้ใช้แรงงานกรรมกร ก็ร่วมกันตกลงที่จะใช้กำลังอาวุธในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนนำไปสู่จลาจลสงครามกลางกรุงปารีส ในช่วงวันที่ 27 – 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1830 เป็นผลให้พระองค์ทรงลี้ภัยไปประทับอยู่ที่สกอตแลนด์ เหตุการณ์ดังกล่าวรู้จักกันในนามการปฏิวัติเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1830 (July Revolution)[4]
ผลงานจิตรกรรม “เสรีภาพนำประชาชน” (Liberty Leading the People)
ที่มา : Wikipedia, La liberté guidant le peuple [Online], accessed 8 December 2011. Available from http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a7/Eug%C3 %A8ne_Delacroix_-_La_libert%C3%A9_guidant_le_peuple.jpg
เดอลาครัวซ์ได้รับผลกระทบทางความรู้สึกจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง ทั้งนี้อาจจะเป็นอุปนิสัยที่สนใจเกี่ยวกับความเป็นไปทางสังคมและการเมืองทำให้เขาสร้างผลงานชิ้นนี้ด้วยความตั้งใจที่จะระลึกถึงการต่อสู้และการอุทิศชีวิตของประเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอันสำคัญ ดังจดหมายที่เขาเขียนถึงพี่ชายลงวันที่ 12 เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1830 ว่า …อารมณ์อันขุ่นมัวเป็นเสมือนยากระตุ้นให้ข้าพเจ้าทำงานอย่างหนักข้าพเจ้านำเรื่องสมัยใหม่ และถ้าข้าพเจ้ามิอาจลุกขึ้นสู้เพื่อประเทศชาติ แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าจะวาดภาพนี้สำหรับเธอ...[5]
เดอลาครัวซ์มีแนวทางการแสดงออกทางศิลปะตามลัทธิโรแมนติกนิยม (Romanticism) ซึ่งมักจะมีการแสดงออกถึงเรื่องราวอันเป็นการยกย่องลัทธิปัจเจกนิยม การรับรู้ทางจิตวิสัย ความไม่คำนึงถึงเหตุผล จินตนาการ อารมณ์ความรู้สึก ธรรมชาติ อารมณ์อยู่เหนือหลักเหตุผล และความรู้สึกอยู่เหนือสติปัญญา[6] แนวทางดังกล่าวกระตุ้นความรู้สึกและจินตนาการ ศิลปินกลุ่มนี้มักมีการแสดงออกในทางศิลปะอย่างอิสรเสรีกว่าศิลปินยุคก่อนหน้า มีความกล้าหาญในการใช้สีอย่างรุนแรงประกอบกับการทิ้งรอยฝีแปรงทำให้ภาพเกิดความเคลื่อนไหวและมีผลให้เกิดความสั่นสะเทือนในการมอง มักแสดงออกถึงเรื่องราวอันเป็นสิ่งที่อลังการ เหตุการณ์ที่สำคัญในสังคม และมุ่งเน้นให้เกิดการสะเทือนอารมณ์อย่างรุนแรง ดังที่ชาร์ลส โบดแลร์ (Charles Baudelaire: 1821-1867) กวีและนักวิจารณ์ศิลปะชาวฝรั่งเศส ได้เขียนไว้ในปี ค.ศ.1846 ว่า “ลัทธิโรแมนติกมิได้ตั้งอยู่บนหนทางของความจริงที่เป็นเหตุผล แต่เป็นวิถีแห่งความรู้สึก”[7]
ในผลงานจิตรกรรมชื่อ “เสรีภาพนำประชาชน” เดอลาครัวซ์ได้นำเรื่องราวการปฏิวัติเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1830 มาสร้างเรื่องราวให้เกิดความสะเทือนใจตามแนวคิดลัทธิโรแมนติก เขาจัดการกับองค์ประกอบให้ดูราวกับการแสดงละครเวที ท่าทางของตัวละครในภาพถูกจัดวางไว้อย่างมีระบบและเต็มไปด้วยนัยยะที่สำคัญ
ลักษณะการจัดภาพของเดอลาครัวซ์เป็นรูปแบบที่นิยมนั้น คือการที่วางตำแหน่งศพในภาพกองบิดเบี้ยวอยู่เบื้องหน้า เด็กที่พับเข่าทแยงวิ่งนำหน้ากำลังยกมือเพื่อชูธงขึ้นสูง ทำให้เกิดเป็นรูปทรงพีระมิด[9]
การระบายสีในภาพมีลักษณะทิ้งรอยของฝีแปรง (Painterly Style) ลักษณะโทนสีจะมีลักษณะเข้มขรึมด้วยสีน้ำตาลกับสีดำ สีที่ปรากฏเด่นชัดบนผืนธงเองก็ถูกนำมาใช้ซ้ำ ๆ หนักบ้างเบาบ้างตลอดทั้งภาพ เดอลาครัวซ์จะใช้สีขาวกระจัดกระจายอย่างอิสระที่สุด ส่วนท้องฟ้าใช้สีแดงสลับกับสีน้ำเงินดุคล้ำ สีน้ำเงินเข้มถูกนำมาใช้อย่างซ้ำ ๆ เป็นสีของถุงเท้าของคนตายทางด้านซ้ายมือ เป็นสีเสื้อของเด็กชายที่พับเข่าและเป็นสีผ้าผูกคอและเข้มขัด เช่นเดียวกับศพทางด้านขวามือมีสีแดงที่สะท้อนสีของธง ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและระบบสาธารณรัฐฝรั่งเศส เดอลาครัวซ์นำมาใช้ระบายเป็นสัตยาบันทางการเมือง[10]
สัญลักษณ์ธงชาติฝรั่งเศสในภาพถูกนำมาใช้คู่กับหญิงสาวผู้เป็นจุดสนใจในภาพและถือเป็นตัวละครหลักนำเสนอเรื่องราวที่จำลองเหตุการณ์ที่สำคัญทางการเมือง ตำแหน่งของธงชาติถูชูขึ้นเหนือตัวละครทั้งหมด ไม่เว้นกระทั่งมหาวิหารนอเทรอดาม (Cathédrale Notre Dame de Paris) ก็ยังถูกวางในตำแหน่งพื้นหลังด้านขวาของภาพ อีกทั้งยั้งมีขนาดสัดส่วนที่เล็กกว่าตัวละครหลักของภาพ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ที่อยู่ในกรุงปารีส
ในหนังสือ “What great paintings say” ซึ่งเป็นหนังสือที่วิเคราะห์และวิจารณ์ผลงานศิลปะตะวันตกชิ้นสำคัญ ๆ ได้อย่างละเอียด ได้เขียนถึงธงชาติฝรั่งเศสในผลงานชิ้นนี้อย่างน่าสนใจว่า
...ธงสามสีปรากฏเคียงคู่ไปกับอารมณ์ความขัดแย้งของเหล่าปัญญาชนและผู้นิยมระบอบสาธารณรัฐ ธงผืนนี้แสดงออกถึงอำนาจอันสูงสุดของประชาชนและชัยชนะแห่งเสรีภาพที่เหนือการกดขี่แบบเผด็จการ สำหรับประชาชนโดยทั่วไป แล้วถือว่าเป็นการปลุกเร้าความรักชาติอย่างตรงไปตรงมา ทำให้นึกถึงยุคแห่งความรุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส...[11]
หญิงสาวกลางภาพแท้ที่จริงเป็นสัญลักษณ์ของ มารีอาน (Marianne) ซึ่งเป็นรูปลักษณ์สตรีอันเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของสาธารณรัฐฝรั่งเศส[12] ซึ่งเมื่อนำสัญลักษณ์ดังกล่าวเข้ามาประกอบกับธงชาติสามสีของฝรั่งเศสก็เป็นการสร้างสัญลักษณ์อันเกี่ยวโยงกับชัยชนะที่มีเรื่องของชาติฝรั่งเศสเป็นบริบทหลักอยู่เป็นสำคัญ การก้าวเดินของเทพีแห่งชัยชนะจึงมิเพียงการย่างก้าวของร่างสตรีธรรมดาที่ถือธงชาติ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการก้าวไปสู่วันแห่งชัยชนะของชาติ
สรุปแล้วความหมายโดยพื้นฐานของธงชาติในผลงานชิ้นนี้เป็นเรื่องของการแสดงความเป็นชาติ (Nationhood) ลัทธิชาตินิยม (Nationalism) และความรักชาติ (Patriotism) ดังนั้นธงชาติที่ปรากฏในภาพนี้จึงเป็นสัญลักณ์ของความเป็นชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศส สะท้อนแนวคิดชาตินิยมแนวเสรี (Liberal Nationalism) โดยมีฐานคิดที่ว่า
...ชาติจึงเป็นชุมชนที่แท้จริงและเป็นอินทรียภาพ มิใช่เป็นผลงานสร้างของผู้นำทางการเมืองหรือชนชั้นปกครอง ชาตินิยมแนวเสรีถือว่าชาติกับอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเป็นเรื่องเดียวกัน...[13]
โดยสรุปแล้วสัญลักษณ์ของธงชาติในผลงานจิตรกรรม “เสรีภาพนำประชาชน” นอกจากจะมีคุณค่าทางด้านศิลปะแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อันสะท้อนถึงแนวคิดชาตินิยมที่มีบริบทร่วมกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองควบคู่กันไป ซึ่งสิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้ความหมายของภาพนำไปสู่เนื้อหาทางด้านวีรกรรม การปฏิวัติ การเมือง และชาตินิยมควบคู่กันไปอย่างทรงประสิทธิภาพ
10 May 2011. Available from http://www.arthistoryarchive.com/arthistory/romanticism/ arthistory_romanticism.html
http://www.huntfor.com/arthistory/c17th-mid19th/romanticism.htm
(Koln : Benedikt Taschen, c1995), 571.
วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ผลงานจิตรกรรมผสม “ธงสามผืน” (Three Flags)
โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ (ส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ภาควิชาทฤษฎีศิลป์ ตามหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากรเรื่อง “ธงชาติไทยในศิลปะร่วมสมัย” ของสุริยะ ฉายะเจริญ)
แจสเปอร์ จอห์น (Jasper Johns, Jr.) เป็นศิลปินยุคศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) ผลงานของเขาส่วนใหญ่สร้างเป็นจิตรกรรมเทคนิคผสม ต่างจากการสร้างสรรค์จิตรกรรมแบบประเพณีด้วยสีน้ำมันบนระนาบผ้าใบอย่างอดีต เขาเป็นศิลปินที่สร้างผลงานในลักษณะที่เป็นแบบนีโอ-ดาดา (Neo-Dada) ซึ่งเป็นแนวทางที่แสดงภาพลักษณ์และสินค้าในชีวิตประจำวัน สะท้อนถึงสังคมทุนนิยม บริโภคนิยม และเพราะมีความงามแบบลูกผสมประหลาด ๆ เป็นความงามที่คาบเกี่ยวอยู่ระหว่าง สินค้าสำเร็จรูปกับขยะ คาบเกี่ยวระหว่างของที่เครื่องจักรผลิตออกมาอย่างแข็งทื่อไร้อารมณ์ กับสีสันฝีแปรงที่แสดงความรู้สึกอย่างมีชีวิตชีวา[1]
จอห์นเป็นศิลปินที่ใช้สัญลักษณ์และรูปสัญญะสิ่งของที่มีอยู่ในสังคมอเมริกันในยุคนั้นนำมาสร้างเป็นผลงานศิลปะขึ้น โดยผลงานส่วนใหญ่มักจะให้ความรู้สึกที่เกี่ยวโยงกันระหว่างการเสียดสีเย้ยหยันแบบลัทธิดาดา (Dadaism) กับภาพลักษณ์สังคมทุนนิยม (Capitalism) ที่แสดงออกมาแบบศิลปะป๊อป (Pop Art) ภาพผลงานของเขาจึงเสมือนการหยิบยืมสัญลักษณ์ต่าง ๆ นำมาผสมกันกับทัศนธาตุทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น เส้น สี พื้นผิว เพื่อสะท้อนความเป็นไปของยุคสมัยแห่งความเป็นสมัยใหม่ผ่านผลงานศิลปะที่มีรูปแบบเฉพาะตัว จอห์นใช้สัญลักษณ์มากมายมาสร้างสรรค์ผลงาน เช่น รูปร่างแผนที่ เป้ายิงปืน ตัวอักษร เป็นต้น แต่ผลงานที่ดูเสมือนเป็นต้นแบบ (Master Piece) ที่มีชื่อเสียงของเขาคงเป็นผลงานที่สร้างจากรูปลักษณ์ของธงชาติอเมริกัน (Stars and Stripes) ที่เขาเองได้สร้างขึ้นมาหลายรูปแบบอย่างน่าสนใจ
จิตรกรรมผสมชื่อ ธงสามผืน หรือ Three Flags (ภาพที่ 1) ของจอห์น สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1958 ด้วยเทคนิคขี้ผึ้งและสีบนผ้าใบ (wax and pigment on canvas) มีขนาด 30⅞ × 45½ นิ้ว หรือ 78.42 x 145.16 เซนติเมตร ซึ่งปัจจุบันเป็นสมบัติและจัดแสดงนิทรรศการอยู่ที่ วิทนีย์ มิวเซียม อ็อฟ อเมริกัน อาร์ต (Whitney Museum of American Art) ณ นครนิวยอร์ก (New York City)[2] ประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S.A.) เป็นภาพธงชาติสหรัฐอเมริกาสามชิ้นวางซ้อนทับกันตามลำดับขนาดใหญ่ลงมาถึงขนาดเล็ก เมื่อมองเห็นอย่างผิวเผินแล้วจึงเป็นเพียงรูปธงสามผืนธรรมดา ๆ 3 ขนาดที่ต่างกันเท่านั้น แต่เมื่อได้พิจารณาอย่างใกล้ ๆ ในรายละเอียด จะพบว่ามีเศษหัวข้อข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์(Newspaper) ภาพถ่าย (Photography) ภาพการ์ตูน (Comic) และเศษกระดาษจากสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ภายใต้พื้นผิวของขี้ผึ้ง (Wax) ที่โปร่งทะลุ (Transparent)
รองศาสตราจารย์ ดร.พรสนอง วงศ์สิงห์ทอง อาจารย์ภาควิชานฤมิตศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนในหนังสือวิชาการทางศิลปะชื่อ “ประวัติศาสตร์นฤมิตศิลป์” เกี่ยวกับผลงานชุด ธงชาติของแจสเปอร์ จอห์น เอาไว้ว่า
...เป็นการนำภาพที่อยู่ในความนิยมและยังเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติเข้ามาใช้ จอห์นกล่าวว่า “การใช้แบบธงอเมริกัน ประหยัดเวลาผมไปเยอะ เพราะผมไม่จำเป็นต้องออกแบบเอง” อันนี้ถือเป็นภาพแอบสแทรกต์ เพราะภาพประกอบด้วยรูปร่างเรขาคณิตล้วน ๆ และยังเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็รู้จักในทันทีที่เห็น ธงอเมริกันมีประวัติศาสตร์ของตนเอง และสีเทียนที่จอห์นใช้เป็นสื่อในการวาดก็เป็นสื่อที่มีอายุยาวนานมาตั้งแต่สมัยโบราณ...ธงเกิดจากการประกอบแผงผ้าใบที่นำไปวางทาบกัน แล้วระบายทับด้วยสีเทียน การผสมกันในลักษณะนี้ทำให้ลายผิวเนื้อเกิดความชัดเจน ปัญหาที่เขาแฝงเป็นนัย ๆ คือ เมื่อไรที่ธงหมดสภาวะเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แล้วกลายเป็นภาพ…[3]
ภาพที่ 1 จิตรกรรมผสมชื่อ ธงสามผืน (Three Flags)
ที่มา : Space15twenty, Three Flags [Online], accessed 6 December 2011. Available from http://www.space15twenty.com/happy_4th_of_july
จากที่ได้อ้างถึงจะเห็นว่า จอห์น มิได้หยิบยกรูปลักษณ์ของธงชาติขึ้นมาอย่างไม่มีแนวคิด เพราะหากเป็นเช่นนั้นผลงานของเขาจึงเป็นเพียงลักษณะของผลงานในรูปแบบแอ็บสแทร็กต์ อาร์ต (Abstract Art) หรือศิลปะแนวนามธรรมเท่านั้น หากแต่สิ่งสำคัญที่มีส่วนทำให้ผลงานชิ้นนี้เกิดประเด็นทางความคิดคือ รูปลักษณ์ธงชาติเป็นสัญลักษณ์ที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับบริบททางสังคมโดยตัวเองอยู่แล้ว การนำธงชาติมานำเสนอจึงเป็นการนำแนวคิดและความหมายเกี่ยวกับธงชาติเขามาเป็นประเด็นในการสร้างสรรค์ด้วย
โจนาธาน โจนส์ (Jonathan Jones) นักข่าวและนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษแห่งหนังสือพิมพ์ เดอะ กราเดียน (The Guardian) ได้เขียนเกี่ยวกับผลงานชุดนี้ในบทวิจารณ์ชื่อ “ความจริงภายใต้หมู่ดาวและริ้วเส้นของแจสเปอร์ จอห์น” (The truth beneath Jasper Johns' stars and stripes) เอาไว้ว่า
...มีเรื่องราวอันมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้อัตลักษณ์อันบ่งบอกความเป็นอเมริกันชน จิตรกรรมชิ้นนี้เป็นผลงานศิลปะที่เสมือนวรรณกรรมแห่งอเมริกันที่เยี่ยมยอด ประดุจดั่งอนุสาวรีย์นิ่งสงัดที่ซุกซ่อนความน่าสะพรึงกลัวบนความจริงของสามัญรูป ใครคือชาวอเมริกัน? พวกเขาคล้ายกับอะไร? ซึ่งนั่นคือความหมายที่อยู่ลึกกว่ารูปร่างของดาวห้าแฉกและแถบริ้วสี...[4]
ซึ่งจากบทวิจารณ์ทำให้เห็นว่าภาพลักษณ์ธงชาติอเมริกันในผลงานของจอห์นนอกจากแสดงถึงอัตลักษณ์ของความเป็นอเมริกันแล้วยังมีความหมายที่สื่อถึงนัยยะอันถูกเก็บซ่อนอยู่ภายใต้ภาพธง ซึ่งผู้ดูต้องพินิจพิเคราะห์และกระทำการตีความเพื่อให้เข้าถึงความหมายของผลงาน ความคลุมเครือนี้เองได้นำไปสู่การตั้งคำถามถึงภาวะคุณค่าการเป็นผลงานศิลปะหรือไม่ของผลงานในชุดธงชาติอเมริกัน ดังที่ในหนังสือชื่อ “จิตรกรรม” (Painting) ของ โวล์เกอร์ เกปฮาร์ดท์ (Volker Gebhardt) ได้เขียนไว้ว่า
...จอห์นเลือกภาพธงซึ่งเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในความเข้าใจของชาวอเมริกันมาสร้างเป็นผลงานจิตรกรรม แมกซ์ อิมดาร์ห (Max Imdahl) นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวเยอรมันได้ตีพิมพ์ประเด็นคำถามที่ว่า “นี่คือธงหรือจิตรกรรมรูปธงกันแน่?” และ “นี่คือจิตรกรรมรูปธงหรือเป็นแค่ภาพ?” ความคลุมเคลือไม่แน่ใจนี้คือความชัดเจน อีกทั้งยั้งนำไปเชื่อมโยงระหว่างท่าทีการปฏิวัติแห่งเสรีภาพ และการอภิปรายทางทฤษฎีที่เคร่งครัดบนความหมายของภาวะความเป็นสมัยใหม่ (Modernity) ในตัวของมันเอง...[5]
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในผลงานชิ้นนี้จึงมิใช่อะไรอื่นมากไปกว่าสะท้อนสำนึกความเป็นชาติอเมริกัน ที่เมื่อมองในแง่มุมของประวัติศาสตร์ ณ ห้วงเวลาที่ศิลปินได้สร้างสรรค์ผลงานขึ้น จะพบว่าเป็นห้วงสมัยของสงครามเย็น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม และการตื่นตัวเรื่องสันติภาพ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงเสมือนวัตถุดิบทางความคิดที่ดีในการที่จะนำเสนอทัศนะผ่านผลงานศิลปะ ที่สำคัญอีกประการคือจอห์นถือเป็นศิลปินที่นำเสนอผลงานที่เกี่ยวเนื่องกับบริบททางสังคมและการเมืองมาตลอด ผลงานในชุดที่มีรูปลักษณ์ธงชาติอเมริกันก็มีการผลิตออกมามากมายหลายชิ้นหลายรูปแบบ ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อโดยอนุมานจากบริบททางประวัติศาสตร์และลักษณะภาพของการสร้างสรรค์ได้ว่าผลงานของเขามีนัยยะที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
ภาพที่ 2 ภาพถ่ายเหตุการณ์การปักธงชาติอเมริกันบนสมรภูมิอิโวชิมา
ที่มา : A World at War, Battle of Iwo Jima Photos Gallery [Online], accessed
8 December 2011. Available from http://www.awwar.com/wp-content/uploads/ 2010/08/ww2-156.jpg
ผลงานจิตรกรรม “ธงสามผืน” เป็นเสมือนภาพตัวแทนของถ้อยแถลง (Manifesto) การปลุกชาตินิยม (Nationalism) ที่มีอยู่มากมายภายในสังคมอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งภาพดังกล่าวแม้มิได้ถูกชูขึ้นบนเสาแบบธงชาติที่โบกสะบัดอยู่เหนือศีรษะราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเสมือนถูกทำให้หยุดนิ่งคล้ายดังภาพถ่ายเหตุการณ์การปักธงชาติอเมริกันบนสมรภูมิอิโวชิมา (Battle of Iwo Jima) เมื่อ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1945 (ภาพที่ 2) หรือ ภาพถ่ายธงชาติอเมริกันที่ถูกปักบนดวงจันทร์ ในโครงการอะพอลโล 11 (Apollo 11) เมื่อวันที่ 21กรกฎาคม ค.ศ.1969 (ภาพที่ 3) ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างขวัญกำลังใจและเป็นโฆษณาชวนเชื่อปลุกเร้าความรู้สึกภาคภูมิในความเป็นชาติของตน
ทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกามิใช่ประเทศที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานเหมือนหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ดังนั้นการสร้างมายาคติทางด้วยประวัติศาสตร์ผ่านภาพสัญลักษณ์ธงชาติจึงเป็นกระบวนการประดิษฐ์กรรมความเป็นชาติให้เกิดขึ้น โดยที่มีฐานะของผู้ชนะจากสงครามโลกอำนาจทางเศรษฐกิจ ค่านิยมในสังคม และลัทธิทางการเมืองเป็นปัจจัยที่สำคัญในการหล่อเลี้ยงให้ชาตินิยมของชาวอเมริกันเสร็จสมบูรณ์
ภาพที่ 3 ภาพถ่ายธงชาติอเมริกันที่ถูกปักบนดวงจันทร์ในโครงการอะพอลโล 11 (Apollo 11)
ที่มา : Wikipedia, Apollo 11 [Online], accessed 8 December 2011. Available from http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/d/dd/Buzz_salutes_the_U.S._Flag.jpg
โดยสรุปแล้วผลงานจิตรกรรมผสมชื่อ “ธงสามผืน” (Three Flags) รวมไปถึงผลงานชิ้นอื่น ๆ ที่ปรากฏภาพลักษณ์ของธงชาติอเมริกันของแจสเปอร์ จอห์น ถือผลงานศิลปะที่สะท้อนสำนึกชาตินิยมของชาวอเมริกันซึ่งมีความเชื่อโยงในลัทธิชาตินิยมสมัยใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และความเป็นไปทางการเมืองในระดับสากล ผลงานชิ้นนี้และในชุดที่เกี่ยวข้องจึงไม่เพียงมีคุณค่าในทางศิลปะเท่านั้น หากแต่ยังบันทึกประวัติศาสตร์ทางสังคมและการเมืองได้อย่างคมคายอีกด้วย
[4] Jonathan Jones, The truth beneath Jasper Johns' stars and stripes [Online], accessed 24 May 2011. Available from http://www.guardian.co.uk/artanddesign/ jonathanjonesblog/2008/oct/24/jasper-johns-jonathan-jones-flag
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)