วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2564

แบบแผนปฏิบัติของการวิจัยด้านการจัดการศิลปกรรม

โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ (Ph.D, MFA, BFA)

jumpsuri@gmail.com


1. ปัญหาการวิจัย (Research Problem)

ปัญหาการวิจัย คือ ข้อสงสัยในสิ่งที่ต้องทำการวิจัยซึ่งเกิดจากความสนใจ หรือการสังเกต หรือการทบทวนแนวคิด/ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ต้องการหาคำตอบ ปัญหาของการวิจัย คือ ขั้นต้นของการสร้างหัวข้อการวิจัย เพื่อเป็นตัวตั้งต้นประเด็นสำคัญก่อนการดำเนินการวิจัยในลำดับต่อไป

2. คำถามการวิจัย (Research Question)

คำถามการวิจัย คือ การตั้งโจทย์จากข้อสงสัยว่า เราควรรู้อะไรจากสิ่งที่ต้องศึกษาวิจัย และทำไมต้องรู้เรื่องนั้น ๆ เรื่องที่เราควรรู้จะพัฒนาเป็นชุดคำถาม เพื่อพัฒนาไปสู่เป้าหมายการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง

3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Research Objective)

วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ จุดหมายของการวิจัยแบบรวบยอดว่ามีอะไรบ้าง วัตถุประสงค์ คือ แผนการทางความคิดในการวิจัยว่ามีความคาดหมายอยากจะทำวิจัยเรื่องนั้น ๆ ให้เกิดผลลัพธ์ด้วยประเด็นเกี่ยวกับอะไร ซึ่งสิ่งนี้เป็นหัวใจขั้นต้นของการก่อนเริ่มการดำเนินการวิจัยอย่างมีระบบและมีเป้าหมายที่ชัดเจน

4. ขอบเขตของการวิจัย (Research Delimitation)

ขอบเขตของการวิจัย คือ ขอบเขตหรือข้อกำหนดเบื้องต้นว่าเราจะศึกษาวิจัยในประเด็นนั้น ๆ แค่ไหน ประเด็นใดบ้าง ซึ่งต้องเป็นขอบเขตที่ชัดเจน มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ใครคือกลุ่มเป้าหมายในการศึกษาวิจัย และจะใช้เครื่องมืออะไรในการหาคำตอบนั้น

5. สมมุติฐานการวิจัย (Hypothesis Delimitation)

สมมุติฐานการวิจัย คือ การคาดคะเนผลการวิจัยไว้อย่างคร่าว ๆ ว่ามีลักษณะใด หรือมีความน่าจะเป็นในผลลัพธ์ของการวิจัยนั้น ๆ อย่างไร

6. การทบทวนวรรณกรรม (Literature Review)

การทบทวนวรรณกรรม คือ การทบทวนงานวิจัยที่มีมาก่อนหน้า หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง หรือแนวคิดของนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษาวิจัยของเรา โดยต้องเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อเปิดมุมมองให้กับผู้วิจัยในประเด็นที่ได้ศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ ทั้งในด้านกว้างและด้านลึกทางวิชาการ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในการวิจัยจึงต้องมีประเด็นที่สอดคล้องและสัมพันธ์กับการวิจัยนั้น ๆ ด้วย

7. กรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual Framework)

กรอบแนวคิดการวิจัย คือ กรอบการวิจัยที่เป็นผลจากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่สอดรับกับกระบวนการวิจัยนั้น ๆ อันนำมาสู่แบบจำลองหรือแผนดำเนินการวิจัย เพื่อให้นำไปสู่กระบวนการหาคำตอบได้อย่างมีเหตุและผลที่ชัดเจน  กรอบแนวคิดวิจัยจึงเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินการวิจัยสำหรับให้งานวิจัย ซึ่งอาจสรุปเป็นคำอธิบาย/แผนภูมิ/แผนผัง/แผนภาพ เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายและมีความชัดเจนขึ้น

8. วิธีการวิจัย (Research Methodology)

วิธีการวิจัย คือ วิธีการหาคำตอบจากการวิจัย โดยวิธีการที่มีเหตุผลและมีความเที่ยงตรงเชื่อถือได้ ซึ่งวิธีการวิจัยที่นิยมใช้หลัก ๆ คือ

8.1 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)

การวิจัยเชิงคุณภาพ คือ วิธีการวิจัยที่มุ่งหาคำตอบในเชิงเหตุผลและการอธิบายคุณลักษณะของสิ่งที่เราวิจัย โดยผลของคำตอบคือชุดความรู้หรือชุดคำอธิบายผลจากการวิจัย เช่น การวิจัยที่มุ่งหาคำตอบความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่สาธารณะกับงานออกแบบในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือการวิจัยที่ต้องการหาคำตอบในด้านของการอนุรักษ์งานจิตรกรรมโบราณว่ามีหลักการอย่างไรบ้าง เป็นต้น

8.2 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research)

การวิจัยเชิงปริมาณ คือ วิธีวิจัยที่กำหนดตัวแปร (variable) หรือเกณฑ์อันเป็นปัจจัยที่นำมาสู่คำตอบได้ เพื่อเก็บข้อมูลทางสถิติหรือตัวเลขและนำมาสู่การวิเคราะห์ ซึ่งตัวแปรอาจเป็นเรื่องของความต่างด้านพื้นที่/ อายุ/ เพศ หรือคุณสมบัติเฉพาะอื่น ๆ เพื่อนำผลลัพธ์เชิงสถิติมาเปรียบเทียบ และวิเคราะห์ อันนำมาสู่ผลลัพธ์การวิจัยได้ เช่น การวิจัยที่มุ่งหาคำตอบสถิติการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะของประชากรชาย-หญิงและในช่วงวัยต่าง ๆ ว่ามีสถิติอย่างไร สอดคล้อง แตกต่าง หรือขัดแย้งกันอย่างไร และนำไปสู่ข้อค้นพบอะไรบ้าง

8.3 การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research)

การวิจัยแบบผสมผสาน คือ การวิจัยที่ผสมผสานกันระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อหาคำตอบการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ลุ่มลึกขึ้น เป็นเหตุเป็นผลที่ชัดเจน และน่าเชื่อถือมากขึ้น ด้วยผลลัพธ์ทั้งเชิงสถิติและนำมาสู่การวิเคราะห์ที่สอดรับหรือโต้แย้งกับแนวคิดทฤษฎีที่มีมาอยู่ก่อนหน้า การวิจัยแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากกับนักวิจัยในปัจจุบัน เพราะสามารถขยายผลทางความคิดที่กว้างและหลากหลายมากขึ้น เช่น การวิจัยที่มุ่งหาคำตอบเชิงสถิติของประชากรในเพศและวัยที่แตกต่างกันในการเข้าชมผลงานในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งหนึ่ง แล้วนำผลเชิงสถิติมาวิเคราะห์ในประเด็นที่สัมพันธ์กับคำถามการวิจัยเพื่อให้เกิดคำอธิบาย ว่ามีปัจจัยที่เป็นเหตุเป็นผลที่มีต่อการเข้าชมหอศิลป์ว่าสัมพันธ์กับอะไรบ้าง เป็นต้น

8.4 การวิจัยเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary Research)

การวิจัยเชิงสหวิทยาการ คือ การวิจัยที่ผู้วิจัยใช้ศาสตร์หรือความรู้หลากหลายสาขาเป็นฐานในการดำเนินการวิจัยเพื่อคำตอบด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ซับซ้อนขึ้น โดยอาจมีวิธีการเชิงทดลอง/ สำรวจ/ ลงพื้นที่จริง หรือการสร้างสรรค์ผลงานร่วมด้วย เพื่อนำไปสู่คำตอบของผลลัพธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น เช่น การวิจัยที่บูรณาการศาสตร์ในด้านของการจัดการกับศิลปกรรม โดยมีวิธีหาคำตอบผ่านเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การสังเกตแบบ/ สอบถาม/ การสัมภาษณ์ เป็นต้น ซึ่งการวิจัยนี้เป็นแนวทางสำคัญของการวิจัยในยุคปัจจุบัน เพื่อเกิดผลลัพธ์ที่ทันสมัยในแง่มุมของศาสตร์สาขาต่าง ๆ

9. การวิเคราะห์ (Research Analysis)

การวิเคราะห์ คือ ขั้นตอนของการวิเคราะห์หรือแยกแยะประเด็นสำคัญในการวิจัยตามแนวคิด ทฤษฎี กรอบแนวคิด วิธีการดำเนินการ เพื่อแสดงผลลัพธ์เชิงประจักษ์ว่าผลการดำเนินการวิจัยออกมาเป็นอย่างไรบ้าง การวิเคราะห์เป็นผลชั้นต้นที่มาจากข้อมูลเชิงคุณภาพ หรือแนวคิดทฤษฎีที่มาจากการทบทวนซ้ำ หรือข้อมูลที่มาจากเครื่องมือการวิจัย เช่น ข้อมูลจากแบบทดสอบ (Test) หรือชุดของคำถามที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้น, การสังเกตพฤติกรรม (Observation Form), การสัมภาษณ์ (Interview Form) แบบสอบถาม (Questionnaire) หรือชุดคำถาม เพื่อวัดพฤติกรรมความรู้สึกส่วนบุคคลในประเด็นนั้น ๆ เป็นต้น

10. การสังเคราะห์ (Research Synthesis)

การสังเคราะห์ คือ การสกัดข้อมูลการวิเคราะห์ผลการวิจัยมาสู่ผลลัพธ์ชั้นสูงที่เป็นองค์ความรู้ใหม่หรือนวัตกรรม อันเป็นผลจากการวิจัยที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม

11. การสรุปผล (Conclusion)

การสรุปผล คือ การนำเสนอผลสรุปจากการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยว่ามีผลลัพธ์การวิจัยว่าเป็นอย่างไรบ้าง การสรุปนี้เป็นผลจากการวิจัยทั้งหมดที่เป็นเรื่องของการรวบยอดผลลัพธ์ที่ชัดเจน

12. การอภิปรายผลการวิจัย (Discussion)

การอภิปรายผลการวิจัย คือ การตีความจากผลการวิจัยและประเมินผลการวิจัย เพื่ออธิบายความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับสมมุติฐานของงานวิจัย, แนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ประกอบ, การวิเคราะห์ผล และข้อค้นพบจากการวิจัยอย่างไรบ้าง

13. ข้อเสนอแนะ (Suggestion)

ข้อเสนอแนะคือ ข้อเสนอแนะในการวิจัยในอนาคตของผู้วิจัยเองหรือนักวิจัยอื่น ๆ ในประเด็นที่การวิจัยของเราไม่ได้ครอบคลุมในประเด็นนั้น ๆ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การคิดค้นหัวข้อการวิจัยชิ้นใหม่ขึ้นมาได้

14. การอ้างอิง (Reference)

การอ้างอิง คือ เอกสาร บทความวิชาการ หนังสือ ตำรา สื่อออนไลน์ ไฟล์บันทึกเสียงจากการสัมภาษณ์ หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการศึกษา/วิจัย ซึ่งต้องเป็นชุดข้อมูลที่เชื่อถือได้ มีมาตรฐาน และสอดคล้องกับประเด็นการวิจัย

 


วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ความหมาย ความสำคัญ และหน้าที่ของภัณฑารักษ์

 เรียบเรียงโดย: ดร.สุริยะ ฉายะเจริญ jumpsuri@gmail.com


ความหมายของภัณฑารักษ์

ภัณฑารักษ์ (Curator) คือ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์หรือนิทรรศการ ความหมายความตัวอักษร ก็คือ “ผู้ดูแลรักษาคลังเก็บสิ่งของ”

ภัณฑารักษ์ต้องมีความชำนาญเฉพาะด้านเป็นอย่างดี นอกเหนือจากความรู้ด้านการจัดการพิพิธภัณฑ์ทั่วไป เช่น หากต้องดูแลพิพิธภัณฑ์อัญมณี ก็จะต้องมีความรู้ด้านอัญมณีศาสตร์ หากต้องดูแลนิทรรศการศิลปะ ก็ต้องมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลป์หรือแนวความคิดร่วมสมัยที่เกี่ยวข้อง หรือหากต้องดูแลเทศกาลภาพยนตร์ ก็ต้องมีความรู้ด้านภาพยนตร์หรือทัศนศิลป์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของภัณฑารักษ์แตกต่างกันไป ตามลักษณะเฉพาะของสถานที่จัดแสดง


ความสำคัญของภัณฑารักษ์

ภัณฑารักษ์นับเป็นตำแหน่งที่สำคัญและรับผิดชอบสูงในแง่บริหารและปฏิบัติการ โดยมีความสำคัญ คือ

1.      ภัณฑารักษ์เป็นผู้มีความสำคัญในหน้าที่การจัดหาวัตถุจัดแสดงนิทรรสการ

2.      ภัณฑารักษ์เป็นผู้มีความสำคัญในหน้าที่การจัดหมวดหมู่วัตถุ

3.      ภัณฑารักษ์เป็นผู้มีความสำคัญในหน้าที่การจัดแสดงวัตถุในที่จัดแสดง

4.      ภัณฑารักษ์เป็นผู้มีความสำคัญในหน้าที่การดูแลและซ่อมแซมวัตถุสะสม

5.      ภัณฑารักษ์เป็นผู้วางแผนจัดการและแผนการให้บริการในนิทรรศการ

6.      ภัณฑารักษ์เป็นผู้มีส่วนอย่างมากในการประเมินราคาของศิลปวัตถุ


บทบาทของภัณฑารักษ์

"ภัณฑารักษ์นิทรรศการ" (exhibitions curator) หรือ "ภัณฑารักษ์ศิลปะ" (art curator) คือผู้รับผิดชอบในการจัดนิทรรศการศิลปะ

ในบริบทศิลปะร่วมสมัย คำว่า "ภัณฑารักษ์" หมายถึง บุคคลที่เลือกและตีความผลงานศิลปะ หลายครั้ง นอกจากการเลือกผลงานแล้ว ภัณฑารักษ์มักจะรับผิดชอบในการเขียนบทความในหนังสือ บทความในสูจบัตรศิลปะ และเนื้อหาอื่น ๆ ที่สนับสนุนการจัดนิทรรศการนั้น ๆ

ภัณฑารักษ์ดังกล่าวนี้อาจเป็นพนักงานประจำ หรือ "ภัณฑารักษ์รับเชิญ" (guest curators) จากองค์กรหรือมหาวิทยาลัยในเครือ หรือ "ภัณฑารักษ์อิสระ" (freelance curators) ที่ทำงานให้คำปรึกษากับนิทรรศการนั้น

"ภัณฑารักษ์ของสะสม (collections curator) "ภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์" (museum curator) หรือ "ผู้ดูแล" (keeper) สถาบันมรดกทางวัฒนธรรม (เช่น หอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หรือหอจดหมายเหตุ) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาผลงานสะสมของสถาบันนั้น ๆ และยังเกี่ยวข้องกับตีความหมายวัตถุทางวัฒนธรรมรวมถึงสิ่งประดิษฐ์ทางประวัติศาสตร์ (Interpretation of heritage material including historical artifacts)

บทบาทของของภัณฑารักษ์ของสะสมจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับวัตถุที่จับต้องได้ เช่น งานศิลปะ ของสะสม สิ่งของทางประวัติศาสตร์ (historic items) หรือของสะสมทางวิทยาศาสตร์ (scientific collections)

ในกรณีองค์กรขนาดเล็ก ภัณฑารักษ์อาจมีหน้าที่รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการจัดหาและแม้กระทั่งการดูแลผลงานสะสม ซึ่งได้แก่

1.      ภัณฑารักษ์ทำการตัดสินใจเกี่ยวกับวัตถุที่จะเลือก

2.      กำกับดูแลศักยภาพและเอกสารประกอบ

3.      ดำเนินการวิจัยโดยอิงจากผลงานสะสมและประวัติศาสตร์

4.      จัดเตรียมบรรจุภัณฑ์งานศิลปะที่เหมาะสมสำหรับการขนส่ง

5.      และแบ่งปันงานวิจัยกับสาธารณชนและชุมชนผ่านนิทรรศการและสิ่งพิมพ์

ในพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก เช่น พิพิธภัณฑ์ของสมาคมประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ภัณฑารักษ์อาจเป็นพนักงานคนเดียวที่ได้รับค่าจ้าง ในกรณีสถาบันขนาดใหญ่ เช่น ในพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ หน้าที่หลักของภัณฑารักษ์ที่เพิ่มเติมจากที่กล่าวมาแล้วก็คือ คือ

1.      ภัณฑารักษ์ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในเรื่องที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่

2.      ภัณฑารักษ์ต้องเป็นนักวิจัยที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับวัตถุที่ตัวเองมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ (research on objects)

3.      ภัณฑารักษ์ต้องเป็นผู้มีบทบาทในการแนะนำองค์กรในการรวบรวมวัตถุที่จัดแสดงให้แก่สาธารณชนได้ทราบ (guide the organization in its collecting)

ซึ่งในกรณีในกรณีสถาบันขนาดใหญ่ สามารถมีภัณฑารักษ์ได้หลายคน โดยจะได้รับมอบหมายให้อยู่ในกลุ่มและพื้นที่เฉพาะ (เช่น ภัณฑารักษ์ของศิลปะโบราณ ภัณฑารักษ์ของภาพพิมพ์และภาพวาด ฯลฯ) และมักจะดำเนินการภายใต้การดูแลของหัวหน้าภัณฑารักษ์

ในองค์กรดังกล่าว การดูแลทางกายภาพของวัตถุสะสมอาจได้รับการดูแลโดยผู้จัดการของพิพิธภัณฑ์ (museum collections-managers) หรือโดยนักอนุรักษ์ของพิพิธภัณฑ์ (museum conservators) โดยมีเอกสารและเรื่องการบริหาร (เช่น บุคลากร การประกันภัย และสินเชื่อ เป็นต้น) และมีการบริหารจัดการโดยนายทะเบียนพิพิธภัณฑ์ (handled by a museum registrar)


หน้าที่สำคัญของงานภัณฑารักษ์

1.    หน้าที่สำคัญของงานภัณฑารักษ์มีความเกี่ยวข้องกับการเป็นเป็นผู้ที่ดูแลวัตถุจัดแสดงให้เหมาะสม

2.    ภัณฑารักษ์เป็นตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์หรือนิทรรศการ

3.    ภัณฑารักษ์ถือเป็นคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสถาบันที่ทำงานด้วยกับผู้เข้าชมนิทรรศการ ภัณฑารักษ์เป็นเสมือนสะพานเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่จัดแสดงในนิทรรศการกับสาธารณชนผู้ชมผลงาน ให้สาธารณชนเกิดความรู้ ความเข้าใจ รับประสบการณ์ จากนิทรรศการนั้น ๆ

4.    ภัณฑารักษ์ทำหน้าที่เป็นคนเชื่อมองค์ความรู้และการสื่อสารไปสู่สาธารณะ โดยภัณฑารักษ์ต้องวางบทบาทตัวเองเป็นนักวิชาการ นักวิจัย นักเขียน และนักวิจารณ์ไปด้วย เพื่อผลิตผลงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรอธิบายถึงวัตถุจัดแสดงหรือนิทรรศการที่จัดแสดงในหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ หรือพื้นที่จัดแสดงในประเภทต่าง ๆ

5.    ภัณฑารักษ์จึงเป็นทั้งผู้รู้ เป็นนักบริหาร นักจัดการ นักออกแบบ และครีเอทิฟในตัวเอง เพราะจำเป็นต้องบริหารข้อมูลและนิทรรศการให้เกิดผลที่มีประโยชน์ต่อผู้ชมให้มากที่สุด

6.    ภัณฑารักษ์ถือเป็นอาชีพที่น่าจับตามองในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับอัตราการเติบโตของเมืองที่มีแนวโน้มว่าจะเติบโตรวดเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมไปถึงสัมพันธ์กับเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในระดับนานาชาติ


การวิเคราะห์หน้าที่สำคัญของภัณฑารักษ์ได้เป็น 8 ประเด็นสำคัญ

1.    การรับวัตถุสะสม การจัดเก็บวัตถุ และจัดแสดงผลงานสะสม

2.    การคัดเลือกเนื้อหาและการออกแบบนิทรรศการ

3.    การจัดการเรื่องการติดตั้งผลงานและวัสดุที่จัดแสดง

4.    การออกแบบ การจัดระเบียบ หรือจัดนำชมและการฝึกปฏิบัติการสำหรับสาธารณชน

5.    การเข้าร่วมการประชุมและกิจกรรมกับประชาสังคมเพื่อส่งเสริมสถาบัน

6.    การกำกับและดูแลเจ้าหน้าที่ภัณฑารักษ์ เทคนิค และนักศึกษาฝึกงานที่เกี่ยวข้องกับสายงาน

7.    การวางแผนและดำเนินโครงการวิจัยพิเศษที่เกี่ยวข้องกับวัตถุจัดแสดงหรือวัตถุสะสม

นอกจากนี้ ในปัจจุบัน หน้าที่ภัณฑารักษ์ที่เพิ่มขึ้นมีส่วนเกี่ยวกับการระดมทุนและการส่งเสริมนิทรรศการ (fundraising and promotion) ซึ่งอาจรวมถึงการเขียนและทบทวนข้อเสนอทุน (include writing and reviewing grant proposals) การตีพิมพ์บทความในวารสาร และการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ ภัณฑารักษ์หลายคนยังเข้าร่วมการประชุมและร่วมกิจกรรมในภาคสังคมด้วย

พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจกับอัตลักษณ์ของตนมากขึ้น การสร้างพิพิธภัณฑ์ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยรักษาและเผยแพร่อัตลักษณ์ของตนได้อย่างยั่งยืน

ดังนั้น ภัณฑารักษ์ จึงไม่ใช่แค่ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์หรือนิทรรศการอย่างที่หลายคนมักเข้าใจ หากแต่เป็นผู้ถ่ายทอดอัตลักษณ์ เรื่องราวของพิพิธภัณฑ์หรือนิทรรศการนั้นๆ อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ สามารถออกแบบวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างสร้างสรรค์

ในระดับนานาชาตินั้น ได้ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับอาชีพภัณฑารักษ์มาก

คนที่จะมาเป็นภัณฑารักษ์ต้องจบการศึกษาทางด้านนี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่จ้างใครก็ได้เข้ามาดูแลพิพิธภัณฑ์


ทักษะและบุคลิกที่ดีของคนที่เหมาะจะเป็นภัณฑารักษ์

1.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยช่างสังเกต

2.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่ชอบวิเคราะห์

3.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่รู้จักการวิจารณ์ด้วยทัศนคติในแง่ดี

4.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่ไม่ปิดกั้นข่าวสาร

5.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่ชอบและหลงใหลในงานศิลปะ

6.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่รักการอ่าน

7.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง เห็นทุกเรื่องรอบตัวเป็นเรื่องสนุก

8.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่ติดตามข่าวสารรอบด้าน ไฝ่รู้ รักการเรียนรู้เสมอ

9.      ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์

10.  ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่รู้จัดคิดเชิงระบบและสังเคราะห์เนื้อหาให้กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจ

11.  ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่มีทักษะในการสื่อสารที่ดี

12.  ภัณฑารักษ์ควรเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยม


สายงานการทำงานของภัณฑารักษ์

ด้วยกระบวนการทำงานของโลกเปลี่ยนไป สายงาน และหน้าที่ตำแหน่งงานของภัณฑารักษ์ จึงมีบทบาทเพิ่มเติมและครอบคลุมการทำงานมากยิ่งขึ้น

ซึ่งอาจถือเป็นเรื่องดีที่ท้าทายสำหรับคนที่หลงใหลและสนใจอาชีพนี้

อีกทั้งองค์กร หรือหน่วยงาน ภาครัฐ หรือเอกชนต่างๆ ต่างก็ให้ความสนใจในอาชีพภัณฑารักษ์มากยิ่งขึ้น

เพราะด้วยขอบเขตการทำงานครอบคลุมถึงงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานศิลปะมากมาย เช่น โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และวัตถุที่มีคุณค่าในเรื่องราวต่างๆ ได้แก่ อารยธรรม ศิลปวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงทรัพย์สินอันมีค่าของแผ่นดิน


สถานที่ทำงานของภัณฑารักษ์

ภัณฑารักษ์ส่วนใหญ่ทำงานในพิพิธภัณฑ์ (museums), สวนสัตว์ (zoos), พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (aquariums), สวนพฤกษศาสตร์ (botanical gardens), ศูนย์ธรรมชาติ (nature centers) และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ (historical sites) สภาพการทำงานจึงแตกต่างกันไป

บางคนใช้เวลาในการทำงานกับสาธารณชนโดยให้ความช่วยเหลืออ้างอิงและบริการด้านการศึกษา

ภัณฑารักษ์บางคนทำการวิจัยหรือบันทึกกระบวนการ ซึ่งลดโอกาสในการทำงานร่วมกับผู้อื่น

ภัณฑารักษ์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับซ่อมแซมและติดตั้งผลงานในนิทรรศการ หรือทำงานกับการขนส่งจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังและความละเอียดสูงมาก เพราะสัมพันธ์กับความปลอดภัยของวัตถุจัดแสดงโดยตรง


โดยสรุปแล้ว

ภัณฑารักษ์ต้องทำหน้าที่บริหารจัดการงานนิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ ดูแลสถานที่จัดแสดงและสิ่งของที่จะนำมาจัดแสดง โดยมีลักษณะงานที่ปฏิบัติเกี่ยวข้องนับตั้งแต่ การสำรวจ การจัดหา การเก็บรวบรวม การจัดทำบันทึกหลักฐาน การศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ วิจัย การตรวจพิสูจน์เพื่อกำหนดอายุ ยุคสมัย ประวัติความเป็นมา การจำแนกประเภท การคุ้มครอง ดูแล อนุรักษ์ ซ่อมสงวนรักษา ไปจนถึงการจัดทำสื่อต่างๆ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ การให้ความรู้และให้บริการทางการศึกษา การประเมินคุณค่า ตลอดจนการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุมัติอนุญาตในเรื่องต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด และปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้อง


ข้อมูลอ้างอิง:

https://en.wikipedia.org/wiki/Curator

https://www.careerexplorer.com/careers/curator/

https://london.ac.uk/venues/blog/how-plan-exhibition