โดย: สุริยะ
ฉายะเจริญ (อาจารย์ประจำภาควิชาสื่อดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์
มหาวิทยาลัยสยาม)
(E-mail: jumpsuri@gmail.com)
ศิลปะแบบแอ็บสแตร็ค (Abstract
Art) เป็นงานศิลปะที่ตัดสินคุณค่าในการเล่าเรื่อง (narrative) ได้ยากยิ่ง
คุณลักษณะของผลงานศิลปะประเภทนี้มักเป็นความพอดีในการแสดงออกของศิลปินในชุดรหัสเชิงสุนทรียะ
(aesthetic
code)ที่มีสัญญะ (sign) อันเป็นอัตวิสัย (subjective)
เป็นส่วนใหญ่ หากแต่เมื่อเลือกในกรณีของงานจิตรกรรมประเภทนี้แล้วก็ย่อมต้องกล่าวเพิ่มเติมไปว่าทัศนธาตุ
(visual
element) ที่ปรากฏในผลงานล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การไขความลับของความงามที่อยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ผู้ดูอาจงุนงงสงสัยมากกว่าความเข้าใจที่กระจ่างชัด
งานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็ค
(Abstract
Painting) หรือเรียกว่าจิตรกรรมนามธรรมถือเป็นแนวทางศิลปะที่สำคัญในศตวรรษมี่
20 โดยเจริญถึงขีดสุดในฐานะของความเป็นตัวแทนยุคสมัยใหม่ (Modernity) ที่ปักหมุด ณ สหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อศิลปะแนวแอ็บสแตร็คเอ็กเพรสชั่นนิสม์ (Abstract Expressionism)
หรือจิตรกรรมนามธรรมสำแดงอารมณ์ คัลเลอร์ฟิลด์เพ้นติ้ง (Color Field Painting) หรือจิตรกรรมสนามสี และฮาร์ดเอ็จเพ้นติ้ง
(Hard-Edge Painting) หรือจิตรกรรมขอบคม ซึ่งการเจริญเติบโตของศิลปะในแนวทางที่เป็นทำนองแบบนามธรรมนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยอันหลากหลาย
โดยประการสำคัญคือการที่งานจิตรกรรมก้าวไปสู่จุดสูงสุดของรูปธรรมที่ไม่สามารถนำพาสังคมแบบสมัยใหม่ไปสู่ความกระจ่างชัด
ในขณะที่ภาวะของความเป็นปัจเจก (individual) ของศิลปินที่เติบโตขึ้นในศตวรรษที่ 20
ได้นำพาให้พวกเขาละทิ้งการสื่อความหมายของรูปลักษณ์สามัญและละทิ้งการแทนความหมายใดๆ
ไปสู่ความงามอันแท้จริงของส่วนย่อยที่สุดในงานจิตรกรรม นั่นคือทัศนธาตุ (visual element) หรือธาตุที่ปรากฏขึ้นเป็นภาพที่สัมผัสด้วยการมองเห็น
เพื่อให้แสดงให้เห็นถึงความจริงแท้ที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยรูปแทนความ (visual
representation) ที่ปรากฏเป็นภาพ หรืออาจจะกล่าวว่า “รูปที่ไม่แทนความหมายใดๆ
มันย่อมแทนความหมายของตัวมันเองและนั่นคือความบริสุทธิ์ขั้นสูงในฐานะของงานจิตรกรรม”
ลักษณะที่สำคัญของจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็ค
คือ การนำเสนอรูปลักษณ์ของทัศนธาตุที่เกิดจากการกระทำบางอย่างของศิลปินที่กระทำบนพื้นที่ว่างที่เตรียมไว้เพื่อเป็นพื้นที่แสดงออกของตัวเอง
ร่องรอยที่ปรากฏอันเกิดจากการระบาย ปาด ป้าย หยด หยอด สะบัด สลัด หรือกระทำการใดๆ
ด้วยสีหรือวัตถุดิบต่างๆ เพื่อให้ปรากฏรูปลักษณ์ของร่องรอยบางอย่างบนพื้นที่ว่าง
ซึ่งศิลปินเองก็มีเจตจำนงที่จะกระทำการสิ่งนั้นๆ ด้วยเจตนาอย่างเด่นชัดหาได้เป็นความบังเอิญไม่
ภาพที่ปรากฏขึ้นอาจไม่แสดงความหมายใดๆ เลย และอาจจะไม่แทนค่าความหมายของวัตถุใดๆ
ที่สัมผัสได้ในโลกแห่งความเป็นจริงด้วยตาได้ แต่เป็นภาพจิตรกรรมที่มีเจตจำนงที่จะการสื่อแทนความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่ศิลปินต้องการอรรถาธิบายต่อผู้ดูโดยไม่จำเป็นต้องบรรยายเชิงถ้อยคำมากกว่าแสดงด้วยภาพ
ซึ่งนั่นอาจนำมาซึ่งปัญหาการเข้าถึงคุณค่าเชิงสุนทรียะที่อาจเป็นการตั้งคำถามต่อผลงานชิ้นนั้นๆ
ว่า “อะไรคือมาตรฐานที่จะวัดคุณค่าของผลงานเช่นนี้ได้”
ความเข้าใจในคุณค่าของจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คถือเป็นที่สิ่งเต็มไปด้วยความลึกลับที่ปราศจากการค้นพบด้วยวัตถุวิสัย
(objectivity) การอธิบายจิตรกรรมประเภทนี้ไม่เพียงทำให้ผู้ชมเกิดความไม่ลงรอยระหว่างภาพ
(image) กับคำ (word) ทั้งนี้เพราะจินตภาพของศิลปินที่เกิดขึ้นในญาณปัญญาของตัวเองนั้นมีความเฉพาะตัวจนไม่อาจอธิบายเป็นถ้อยความได้ดีไปกว่าการแสดงออกมาผ่านงานศิลปะ
หากแต่งานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คเป็นศิลปะเชิงอัตวิสัย
ผู้ดูหรือผู้รับสารสามารถตีความได้อย่างหลากหลายมากกว่าเจาะจงความหมายที่ถูกตีกรอบโดยศิลปินในฐานะของผู้สร้างสาร
(message) เพราะฉะนั้นผู้ดูจึงสามารถสถาปนาความหมายของตนเองได้อย่างเสรีโดยสามารถคิดหรือจินตนาการเกินกว่าที่ศิลปินถ่ายทอดออกมาได้
ผู้ดูไม่เพียงเป็นผู้แสวงหาความหมายและรับรสทางสุนทรียะโดยปราศจากกรงขังในนามของการตีความหมายเท่านั้น
หากแต่ศิลปินผู้รังสรรค์ผลงานชิ้นนั้นๆ เองก็มิอาจมีสิทธิ์ในการชี้ชัดถึงความชัดเจนของผลงานมากกว่าการอธิบายอย่างสังเขปเพื่อเป็นดุจป้ายบอกทางแก่ผู้ดู
เพราะหากศิลปินเป็นผู้อธิบายความหมายต่างๆ ในผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คนี้แล้ว การชื่นชมผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คที่เป็นเชิงอัตวสัยก็ย่อมเสียอรรถรสที่วิเศษสุดไปเสียหมดสิ้น
ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ข้างต้น ก็เพื่อให้เห็นลักษณะและความเคลื่อนไหวโดยรวมของงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คเพื่อสามารถที่จะวิเคราะห์ผลงานจิตรกรรมของสมศักดิ์
เชาวน์ธาดาพงศ์ ผู้ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานในแบบนามธรรมหรือจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คมาโดยตลอดหลายสิบปี
ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดย่อมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบดังกล่าวโดยมิได้พึ่งพิงความนิยมของยุคสมัย
ผลงานสร้างสรรค์ของสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ จึงย่อมแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญทางจิตรกรรมแบบเฉพาะในระดับปรีชาญาณที่มีความโดดเด่นไม่น้อยหน้าศิลปินไทยแนวจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คคนอื่นๆ
ที่ปรากฏในรอบสามสิบกว่าปี
ผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คของสมศักดิ์
เชาวน์ธาดาพงศ์ในนิทรรศการเดี่ยว "Works on Paper & Watercolours" ณ หอศิลปวังที่จัดแสดงขึ้นระหว่างวันที่ 8 กรกฏาคม - 7 สิงหาคม 2559 นี้ ศิลปินได้นำผลงานจิตรกรรมที่สร้างสรรค์บนกระดาษขนาดต่างๆ
นำมาจัดแสดงสู่สาธารณะ โดยมีรูปแบบทั้งนามธรรมและ กึ่งนามธรรมปะปนกัน
โดยผู้ดูสามารถที่จะทำความเข้าใจภาพรวมของผลงานทั้งหมดได้อย่างไม่ยากเท่าใดนัก
ทั้งนี้ภาพนิทรรศการยังมีภาพสีน้ำบนกระดาษที่นำเนื้อหาที่ได้แรงบันดาลใจจากทิวทัศน์มานำเสนอควบคู่ไปกับผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คด้วย
ซึ่งนิทรรศการครั้งนี้ทำให้ผู้ดูเองพอจะเห็นภาพรวมได้ว่า
แรงบันดาลใจสำคัญของศิลปินนั้นก็คือสีสันที่เกิดขึ้นในทิวทัศน์ทางธรรมชาติ
ศิลปินเลือกเอาทิวทัศน์ธรรมชาติมาวิเคราะห์ด้วยกระบวนวิธีคิดแบบคลี่คลายรูปร่าง (shape) รูปทรง (form) ทางธรรมชาติโดยลดทอนไปจนถึงรูปลักษณ์ขั้นปฐมภูมิของทัศนธาตุ
จากนั้นจึงสังเคราะห์โดยนำทัศนธาตุที่สังเคราะห์ออกมานั้นมาเรียงร้อยขึ้นใหม่เป็นผลงานจิตรกรรมขึ้น
จิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คในชุดนี้ของสมศักดิ์ได้รับแรงบันดาลใจจาธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของทิวทัศน์และนำไปสู่การคิดค้นแนวทางการนำเสนอผลงานอย่างเป็นระบบ
สีสันต่างๆ
ที่ปรากฏของชุดสีของแสงและสีของวัตถุนำไปสู่การแทนค่าของความหมายเชิงอัตวิสัยของศิลปินเอง
เมื่อศิลปินนำแนวคิดอันเกิดจากการจัดสรรระบบของของข้อมูลที่อยู่ในมโนคติมาวิเคราะห์โดยสมบูรณ์แล้ว
จึงสำแดงออกมา (expression) ด้วยทักษะและวิถีทางจิตรกรรมด้วยฝีแปรง
(brush stroke) เพื่อสร้างร่องรอยของความคิดและความรู้สึกเฉพาะตัวออกมาสู่ผืนกระดาษ
แม้ว่าสัญญะที่ปรากฏบนผืนภาพจะเป็นชุดสีสันอันหลกหลายภายใต้รูปลักษณ์ของรอยฝีแปรงและรูปร่างอันอิสระเสรีโดยมิอาจสื่อความหมายอย่างปรณัยได้
ผู้ดูย่อมต้องอาศัยจินตนาการของตัวเองเป็นดุจพาหนะเพื่อซึมซับและซาบซึ้งกับผลงาน
เพื่อให้สามารถเข้าใจถึงรสของสุนทรียภาพของงานจิตรกรรมที่ปรากฏตรงหน้า
มิเช่นนั้นผู้ดูก็จะพึงเห็นเพียงร่องรอยของสีที่ปาดป้ายอยู่บนผืนภาพที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้เท่านั้น
แม้จิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คจะดูเข้าใจยากไม่น้อยสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางศิลปะ หรือมีความเข้าใจในผลงานประเภทดังกล่าวนี้เลย
แต่สำหรับผลงานจิตรกรรมของสมศักดิ์แล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ทั้งนี้ด้วยชุดสีสันที่สดใสและโปรงเบาตามสถานะของสีน้ำทำให้ผู้ดูพึงสัมผัสถึงความงดงามได้อย่างเด่นชัด
แม้ผู้ดูอาจจะไม่เข้าใจถึงความหมายในเบื้องต้นก็ตาม
แต่ความงามที่เกิดจากการเรียงร้อยและผสานกันของสีอันหลากหลายทำให้การจ้องมองด้วยสายตาสัมผัสกับสีที่สดสว่างจนเกิดความรู้สึกพิเศษบนสนามของมโนภาพของแต่ละคน
ผู้ดูไม่เพียงต้องปลดปล่อยจินตนาการของตัวเองให้ล่องลอยไปกับร่องรอยที่ลอยละล่องอยู่บนผืนกระดาษที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
หากแต่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปิดทั้งตานอกและตาใน หรือเปิดใจที่จะรับรู้ความรู้สึกบางอย่างที่งดงามอันซุกซ่อนอย่างเงียบๆ
บนสีสันที่สดใสทว่าสง่างามอันอยู่ในรูปของฝีแปรงที่พลุ่งพลานแต่มั่นคงราวกับการทำสมาธิ
เพราะฉะนั้น จิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คในชุดนี้ของสมศักดิ์เป็นเสมือนการเรียงร้อยไวยากรณ์ของสีของศิลปินดุจกวีกำลังจารึกพยัญชนะบนแผ่นกระดาษ
ซึ่งผู้เสพศิลปะพึงจำเป็นต้องอาศัยจินตนาการและการตีความส่วนตัวเพื่อเข้าใจความงามที่จะพึงสัมผัสได้จากผลงานศิลปะที่ปรากฏตรงหน้า
แม้การทำความเข้าใจในจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คจะเป็นเรื่องที่วัดคุณค่าทางฝีมือได้ยากมาโดยตลอด
แต่การปรากฏขึ้นของงานจิตรกรรมประเภทดังกล่าวนี้
ย่อมพิสูจน์ให้เห้นถึงพลังของสุนทรียรสของผลงานศิลปะที่ไม่ได้สื่อความหมายใดๆ
นอกจากตัวของมันเอง คุณค่าของมันไม่ได้อ้างอิงกับการสื่อความหมายเพื่อทำความเข้าใจกับรหัสที่ปรากฏ
หากแต่มันคือการที่ผู้ดูต้องใช้ตาใน (จิตใจและความคิด)
เข้าไปสัมผัสและเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้รับจากผลงานศิลปะ
ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นแบบไหนก็ตาม แค่เป็นแบบนี้ก็ย่อมถือได้ว่าได้ก้าวเข้าสู่ความเข้าใจในงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คได้ในระดับแรกแล้ว
ซึ่งสิ่งดังกล่าวนี้ผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คของสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ ได้เป็นบททดสอบของผู้ดูแล้วว่า
“งานศิลปะแบบแอ็บสแตร็ค (Abstract Art) ไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่คิด”