วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ในร้านเหล้า

พื้นที่เวิ้งกว้างอ้างว้างยังคงปรากฏอยู่ในตาของเขา ยิ่งในยามที่พื้นดินเพิ่งเสร็จสิ้นจากการกระแทกของห่าฝนที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาเมื่อก่อนพลบค่ำ ความยะเยือกและชื้นเย็นย่อมเข้าไปทุกอณูของสรรพสิ่งบนพิภพ ไม่นับห้วงภายในของเขาที่ต้องรับลมหนาวในคราวที่หัวใจเพิ่งถูกเม็ดฝนแห่งความรู้สึกกระหน่ำลงจนแฉะฉ่ำ อารมณ์เช่นนี้เขาจะเป็นอย่างไรได้ นอกจากความเปลี่ยวดายที่ปรากฏกายออกมาในรูปของหนังตาที่หลุบต่ำเหม่อลอยไปสู่ห้วงอะไรซักอย่าง

เขาไม่ใช่คนที่โดดเด่นเกินหน้าเกินตาผู้คนโดยทั่วไป แม้ว่าร่างกายที่ดูผ่ายผอมกว่าชายหนุ่มในวัยเดียวกัน แต่เขาก็ไม่ได้มีความปราดเปรียวในการพาร่างเยื้องกราย กลับดูช้าเฉื่อยราวกับไม่แยแสกับความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งรอบข้าง ทว่าทุกย่างก้าวกลับดูมั่นคงมากกว่าบุคลิกที่แสนจะแบบบาง

หลายครั้ง ที่ผู้คนในย่านถนนแห่งแสงสีจะเห็นเขานิ่งสงบอยู่เบื้องหน้าสุราชั้นกลางในยามรัตติกาลคลี่คลุม ร้านประจำของเขาเป็นร้านเหล้าเล็กๆแต่กลับดูมีรูปแบบเฉพาะตัวอย่างอธิบายได้ยาก บางครั้งในคราวสุดสัปดาห์ก็มักชุลมุนด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาเต็มร้าน ครั้นวันธรรมดากลับดูว่างเปล่าราวไร้ร้างผู้คน บรรยากาศนิ่งยะเยือกจนสะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจหากใครไม่คุ้นชินกับการอยู่ลำพังกับตัวเอง

วันนั้นเขาพาร่างอันแสนบางละเลียดไปถึงร้านประจำ เหล้าขวดเดิมที่ฝากไว้กับร้านถูกยกออกมาวางเบื้องหน้าพร้อมน้ำแข็งและแก้วเปล่า แสงอำพันใสในขวดที่เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมสะท้อนเรื่อกระทบผิวดวงตาอันเหม่อลอยนั้นราวกระจกส่องกัน เขายกแก้วที่มีน้ำแข็งและสุราขึ้นแล้วเพ่งมองนิ่งอย่างครุ่นคิด ไม่นานหลังจากนั้นแก้วสุราที่บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์สีทองก็ถูกกระดกเข้าไปในปากอย่างช้าๆจนหมดแก้วเหลือเพียงเสียงกระทบกันของก้อนน้ำแข็งยูนิคสองก้อนในคราวที่กำลังวางลงบนพื้นโต๊ะ เขาอมเหล้าไว้ในปากก่อนกลืนมันลงผ่านลำคอ พลางหลับตาราวกับต้องการลืมทั้งโลก เพียงเพื่อให้ทุกสรรพสำนึกได้รับผัสสะแห่งสุนทรียะรสของเมรัยรสเข้ม ไม่มีใครรู้ว่าปลายทางของเหล้าแก้วนั้นร่วงหล่นไปกองอยู่ในกระเพาะอาหารหรือราดรดไปสู่ห้วงหัวใจอันสุดแสนเหงากันแน่ แต่ที่ปรากฏกลับพบสายตาอันว่างเปล่าที่มากกว่าเดิมของชายที่ดูจะไร้ญาติขาดเพื่อนคนนี้

เกือบครึ่งคืนผ่านไปเขายังคงนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดิมอย่างสงบ เพลง Vincent คลอเคลียไปทั่วอณูของพื้นที่ในร้าน เนื้อเพลงกล่าวสดุดีชีวิตศิลปินนามอุโฆษผู้ล่วงลับที่ปลิดชีวิตตนเองจากความคับข้องและไม่มีที่ทางในการดำเนินไปของชีวิต เสียงร้องและเนื้อหาอันเนิบนาบยิ่งนำมาซึ่งความเปลี่ยวดายให้บรรยากาศภายในร้านมากขึ้นราวกับทำนองในพิธีฝังศพ ชายหนึ่งคน เด็กเสริฟหนึ่งคน และเจ้าของร้านอีกหนึ่งคน ต่างคนต่างมีที่มุมหลืบของตน นั่งนิ่งเงียบอยู่เพียงปริมณฑลส่วนตัว ภาพที่ออกมายิ่งทวีความวังเวงเป็นอย่างยิ่ง

ไม่นานกว่าอึดใจ มีหญิงสาวรูปร่างสมส่วน อกตึงหนั่นแน่นด้วยชุดแซ็กคอกว้างแต่ถูกปิดทับด้วยผ้าพันคนสีขาวซึ่งตัดกับชุดสีดำเงา เธอเยื้องย่างอย่างเงียบๆมาที่เค้าเตอร์ พลางนั่งลงบนเก้าอี้กลมสูงตวัดขึ้นนั่งไขว่ห้าง เป็นอันรู้กันกับเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังเค้าเตอร์ที่วางระเกะระกะไปด้วยขวดสุรานานาชนิด เมื่อเธอยกนิ้วชี้เรียวยาวที่ทาสีดำบนเปลือกของเล็บ ไม่นานนักเด็กเสริฟคนเดิมนำเบียร์สดมาเหยือกหนึ่งพร้อมแก้วเปล่าทรงใหญ่ที่ใช้ดื่มเบียร์สำหรับคอเบียร์มือฉกาจ เธอรินเบียร์ด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่ช้า แต่ไร้ฟอง หลังจากยกเบียร์ในแก้วดื่มรวมเดียวหมด เธอกลับวางแก้วลงบนพื้นเค้าเตอร์ที่ทำเป็นโต๊ะสำหรับดื่มอย่างแช่มช้า นัยน์ตาที่เป็นประกายแหวกความมืดอนัตกาลไปสะท้อนเข้ากับม่านตาที่เพิ่งเงยขึ้นของชายผู้เป็นประดุปิศาจสุราเงียบ ผอมแกร่งและเชื่องช้า

เขามองผ่านม่านรัตติกาลภายในร้านไปสู่หญิงสาวชุดแซกสีดำที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเค้าเตอร์ แทนที่เขาจะละโลมมองตั้งแต่ท่อนขาเปล่าซึ่งมีอาภรณ์ปิดอยู่ถึงเพียงหน้าขาอันขาวละเอียด เขากลับจ้องไปที่ดวงตาอันสุดแสนสกาวในยามที่ค่ำคืนมืดมิดเต็มไปด้วยหมอกและควัน ทว่าเธอกลับมิได้มองตรงมายังเขา อีกทั้งจุดบุหรี่มวนจิ๋วด้วยไฟแช็กสีแดงฉ่ำรูปทรงแปลกต่างจากที่มีวางขายโดยทั่วไป พลางเหม่อมองผ่านหน้าเขาไปสู่บาทวิถีนอกร้าน ที่มีผู้คนไม่คับคั่ง หากแต่เมื่อเทียบกับบรรยากาศภายในร้าน ก็คงถือว่าภายนอกคูคึกคักกว่าไม่น้อย

ชายผู้เปรียบตัวเองเป็นผีดิบผู้เดียวดายเริ่มขยับกายขึ้นอย่างช้าๆ เขายั้นกายด้วยข้อมือและลำแขนอันผมแห้ง ทว่าบัดนี้กลับดูเสมือนมันเริ่มมีระเรื่อของสิ่งมีชีวิตขึ้นบางหลังจากที่แห้งซีดมาเป็นเวลานาน เขาพยายามยืดกายให้ตรงทว่ากลับมิแสดงออกถึงความผึ่งผายสง่างาม พลางเริ่มเดินตรงไปสู่จดหมาย ณ เบื้องหน้าเค้าเตอร์อันไร้ระเบียบนั้น

เขานั่งลงบนเก้าอี้กลมสูงขณะเดียวกันก็เอาแขนทั้งสองวางพาดเค้าเตอร์ มือทั้งสองกุมเข้าหากัน ไม่นานนักเขาหันหน้าไปยังสตรีสวยชุดแซ็กดำและพูดเป็นประโยคแรกแห่งคำคืนอันเปล่าเปลี่ยวนี้

“คุณมาร้านนี้บ่อยมั๊ยครับ”

“ไม่บ่อยมากหรอกคะ เฉพาะเวลาเบื่อ ๆ ดิชั้นก็มักจะมาสั่งเบียร์ที่นี่” เธอตอบโดยมิได้หันมามองหน้าเขา แต่ยังคงเหม่อมองไปสู่นอกร้านนั้นอย่างมีความคิดอะไรบางอย่าง

“ผมมาที่นี่ประจำ เห็นว่าที่นี่เปิดเพลงยุคซิ๊กตี้ เซเว่นตี้ เอ็กตี้ ก็เลยมานั่งฟังประจำ” เขาดูพูดคล่องราวกับมิใช่บุรุษผู้เงียบเหงาในห้วงหลายนาทีก่อน

เธอค่อยๆเอียงหน้าอันขาวละมุนทว่าถูกความมืดห่อหุ้มมาทางเขา ในความคิดของเขาช่างช่างเป็นความรู้สึกที่ลึกลับทว่าอบอุ่น

“ดิชั้นก็คิดแบบเดียวกัน คือ เพลงยุคพวกนี้มักมีเสน่ห์ที่อธิบายไม่ได้ แต่ก็แปลกที่เรามักรู้สึกอินกับมัน”

เสียงบรรเลงดนตรีของเพลง How Deep Is Your Love เริ่มขึ้น

เขาพูดผ่านความเงียบ “เพลงนี้ผมก็ชอบนะ”

“ดิชั้นก็ชอบ ถ้าจำไม่ผิดเป็นของ Bee Gee ใช่มั๊ยคะ”

“ครับ”เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

เมื่อมีเสียงร้องขึ้น เขาและเธอต่างก็ร้องคลอเบา ๆ ไปกับเพลง ราวกับคนรู้ใจที่คบหากันมาอย่างยาวนาน

“…I know your eyes in the morning sun
I feel you touch me in the pouring rain
and the moment that you wander far from me
I wanna feel you in my arms again...”

ทั้งสองต่างนั่งหันหลังพิงกับเค้าเตอร์ เหม่อมองผ่านบรรยากาศภายในร้านสู่ภายนอกที่สายฝนเม็ดเล็กเริ่มโปรยอีกครั้ง ผู้คนภายนอกต่างหาที่หลบกำบัง บ้างก็กางร่ม คู่รักหลายคู่เกินจูงมือกัน บ้างก็โอบกันเดินต่อไปราวกับมิได้สนใจหยดน้ำที่ทำให้ตนเองต้องเปียกปอน เพราะทั้งคู่ต่างมีหัวใจที่อบอุ่นของกันและกันเป็นร่มบังฝนมิให้หัวใจต้องฉ่ำหนาวได้

ไม่มีใครรู้ว่าเขาและเธอกำลังคิดอะไร แต่สิ่งที่ปรากฏในบรรยากาศอันสลัวแสงในร้าน คือทั้งคู่เหม่อไปเบื้องหน้านั่งพิงเค้าเตอร์นิ่ง ทั้งคู่ต่างดูคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ภายใน เมื่อเพลงผ่านมาถึงจุดจบ เขาก็เดินออกจากเธอมาอย่างเงียบ ๆ สู่โต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่ตั้งแต่แรก หยิบแก้วใสที่ระยับแสงอยู่ในความมืดแล้วเติมอำพันใสสีทองกว่าครึ่งแก้ว จากนั้นยกแก้วขึ้นชูขึ้นระดับสายตาหันหน้าเข้าหาหญิงสาวชุดแซ็กดำที่ห่างไปไม่ไกลนัก ภาพที่เขาเห็นผ่านแก้วเหล้า คือ ผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่งนั่งอยู่บนน้ำอำพันสีทอง เหลี่ยมแก้วเมื่อต้องแสงไฟบาง ๆ เกิดแสงระยิบระยับ ในสายตาเขา เธอจึงเป็นประดุจนางฟ้าสีทองที่มีดวงดาวพร่างพรายอยู่รอบกายอันสุดแสนงดงาม

เธอมองมายังเขา หน้าที่เคยนิ่งเฉยเริ่มปรากฏการยกขึ้นของมุมปากที่อวบอิ่มสีชมพูและเป็นมันเงาจากการทาลิปสติกราคาแพง เธอยกแก้วเบียร์สดที่ถูกยกมาให้ใหม่ระดับสายตาพร้อมหันมาทางเขา แล้วทั้งคู่ก็รินน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ปกติเข้มขมบาดคอ แต่ทว่าในการดื่มครั้งนี้ ทั้งเหล้าและเบียร์นั้นช่างหวานราวน้ำผึ้งทิพย์

เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบเล็ก หยิบสมุดเปล่าขนาดเท่าฝ่ามือ แล้วหยิบปากกาหมึกดำที่นิ่งสงบอยู่ในกระเป๋าตรงอกของเสื้อเชิ้ตสีเทา เขามองไปที่เธอ และเธอก็เหลือบมาที่เขา แล้วก็หันไปมองทางอื่น

เขาเริ่มขยับปากกาดำด้ามเล็กนั้นอย่างรวดเร็ว จากเส้นโค้งที่ไม่ดูเป็นรูปอะไรกลายเป็นภาพลายเส้นของหญิงสาวชุดแซ็กที่เขาอยากเก็บให้สถิตอยู่ ณ สมุดวางเปล่าเล่มนั้น เมื่อเขามองที่เธอ แล้วก็ก้มลงปะทะหน้ากระดาษ มือที่เรียวกรอบนั้นก็ขยับปากกาไปเรื่อยๆ เขาทำซ้ำแบบนี้ไปมา จนเมื่อเธอหันมามองทำหน้างง ๆ เธอเอียงคอเล็ก ๆ สีขาวนวลในยามกลางวัน แต่กลับขมุกขมัวในยามรัตติกาลคลี่ทับ แล้วยิ้มให้กับบุรุษที่ขะมักเขม้นทำอะไรบางอย่างกับสมุดเล่มเล็กนั้น ทั้ง ๆ ที่เธออยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็เดาไม่ได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ไม่นานจากนั้นเธอก็ลุกจากเก้าอี้และเดินเข้ามาที่เขาพร้อมกับนั่งร่วมโต๊ะกลมเล็กๆ นั้น

“เขียนอะไรอยู่เหรอคะ”

“ผมกำลังเขียนรูปคุณครับ”

เขาพูดพลางยื่นให้เธอดูสมุดที่เคยว่าง แต่บัดนี้กลับปรากฏเป็นภาพลายเส้นของหญิงสาวสวยนางหนึ่งนั่งบนเก้าอี้กลมประทับอยู่บนพื้นที่ว่างนั้น

“ภาพสเก็ชต์นี้คือดิชั้นเหรอ...คุณเป็นจิตรกรสินะ”

“ครับ ผมเป็นคนเขียนรูป”

“ดิชั้นว่าผู้หญิงในรูปนี้ดูสวยกว่าตัวจริงนะคะ”

“ไม่ใช่หรอกครับ มันเหมือนคุณมากในสายตาของผม”

“แหม ชั้นดูดีในสายตาศิลปินเลยเหรอเนี่ย”

“ไม่ใช่ศิลปินหรอกครับ แต่ในสายตาของผมต่างหาก”

เขาลดสายตาลงสู่แก้วเหล้าทันทีหลังพูดสิ่งคิดที่อยู่ในใจ ความรู้สึกของเขานั้นเหมือนกับหูอื้อสลับกับการเต้นของหัวใจที่เริ่มเร็วผิดปกติ โดยไม่รู้เลยว่าเบื้องหน้าที่เขาไม่ได้มองนั้น คือ หญิงสาวหน้าสวยลดสายตาลงต่ำและแก้มที่ดูแล้วนุ่มละไมนั้นมีสีชมพูเรื่อ ๆ นั่งอมยิ้มอย่างเงียบ ๆ

ฝนที่กระหน่ำซัดมาตั้งแต่ก่อนหัวค่ำเปลี่ยนเป็นพรมพร่ำอยู่ยามพระจันทร์ตั้งฉาก บัดนี้ได้หยุดโปรยหยาดน้ำจากฟ้า กลายสภาพสรรพสิ่งให้อวลไปด้วยความเปียกชื้น ความยะเยือกและชื้นเย็นย่อมเข้าไปทุกอณูบนพิภพ แต่ห้วงภายในของชายหนุ่มที่ต้องรับลมหนาวในคราวที่หัวใจเพิ่งถูกเม็ดฝนแห่งความรู้สึกกระหน่ำลงจนแฉะฉ่ำ กลับถูกอาภรณ์แห่งความรู้สึกห่มคลุมให้อบอุ่นมิลืมเลือน.

โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ

สารัตถะแห่งความช้ำชอกของจิตที่วิปริต

โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ (jumpsuri@hotmail.com)


การดำรงอยู่ของมนุษย์ที่ต้องดำเนินไปควบคู่กับการผันแปรตามวัฏฏะแห่งโลก มิใช่เพียงบำเรอตนแต่เพียงรูปกายภายนอกเท่านั้น หากแต่การมีอยู่ของจิตวิญญาณกลับต้องคอยตรวจทานกันบ่อยครั้งกว่าร่างกาย เพราะตราบใดที่ห้วงภายในได้ถูกรบกวนด้วยอุทกภัยแห่งความรู้สึกแล้ว ก็ย่อมส่งสะท้อนออกมาสู่พฤติกรรมการแสดงออกด้วยเช่นเดียวกัน

ในขณะที่โลกได้ซึมซับและรับทราบแต่ความดี ความงาม และความเป็นจริง เรามักถูกมายาคติที่ซุกซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมแห่งการรับรู้ให้เชื่อแต่สิ่งที่งดงาม อีกทั้งพยายามลบลืมประวัติศาสตร์ที่ตนเป็นผู้แพ้พ่ายในเวทีชีวิต แต่ในยามที่มนุษย์เราอยู่เพียงลำพังกับตนเอง เสียงที่เคยถูกกดทับไว้ในหุบเหวแห่งความรู้สึกก็ก้องสะท้อนออกมาให้สะท้าน อำนาจฝ่ายมืดและอดีตอันปวดร้าว ตลอดจนความวิปริตทางใจก็ค่อย ๆ พรั่งพรูออกมาหลอนหลอกเราอยู่ทุกขณะจิต

ผลงานจิตรกรรมชุดนี้ของ เฉลิมพล รัตนโกศลวัฒน์ ได้แสดงออกถึงความสั่นคลอนภายในจิตใจของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบกพร่องทางอารมณ์ กระทั่งกระทบไปถึงจิตวิญญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้มนุษย์เราเกิดการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ผิดปกติ

ผลงานแต่ละชิ้นมักปรากฏภาพลักษณ์ของมนุษย์ผู้โดดเดี่ยวแปลกแยกจากโลกภายนอก ตัดขาดจากโลกจริงสู่เอกภพแห่งความกำกวม ความคมชัดที่หายไปถูกแทนที่ด้วยการทับซ้อนเหลื่อมกันของน้ำหนักสี ผลงานชุดนี้จึงทำให้ผู้ดูได้หวนไปถึงผัสสะแห่งการเห็นในยามที่เราป่วยไข้หรืออาการเมาจากฤทธิ์สารเสพติด ซึ่งมักจะไม่สามารถเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ย้อนให้คิดอีกว่าภาพที่เห็นเบลอ ๆ เป็นภาพที่ศิลปินสัมผัสเอง หรือเป็นสภาวะจิตของรูปร่างคนที่อยู่ในภาพ และยังไม่นับอีกว่า บางทีผู้ชมผลงานต่างหากที่เป็นผู้เห็นสภาวะดังกล่าวเสมือนรู้สึกป่วยไข้ทางจิตซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานจิตรกรรม

สุดท้ายแล้วศิลปินได้สร้างวาทกรรมกับสังคมถึงความสำคัญของบริบททางจิตวิญญาณ ว่าการมีอยู่ซึ่งตัวตนทางกายภาพนั้น แท้ที่จริงยังมิสามารถเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์ได้หากยังเกิดความบกพร่องผิดปกติทางจิตใจ และในวันที่วัตถุได้เข้ามาครอบครองทั่วปริมณฑลแห่งความเป็นมนุษย์ เราก็ยิ่งควรเยียวยาจิตใจให้เข้มแข็งควบคู่ไปกับวิถีชีวิต เพราะหากร่างกายเจ็บป่วยเราก็ใช้วัตถุธาตุต่าง ๆ รักษาให้บรรเทาและหายจากความเจ็บไข้ได้ หากแต่ความเจ็บป่วยภายในใจนั้น ก็ต้องใช้ใจเองเป็นผู้เยียวยาประดุจโอสถทิพย์ที่รักษาอาการบาดเจ็บจากอสรพิษทางจิตวิญญาณ.
จาก: สูจิบัตรนิทรรศการจิตรกรรม-ชุด Trauma 101 โดยเฉลิมพล รัตนโกศลวัฒน์. ณ. The Gallery, กรุงเทพฯ