โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ
สายฝนโปรยปรายในความมืดครึ้มยามค่ำ บนศาลาไม้เล็กๆ กลางวัดป่า มีแสงสลัวของตะเกียงน้ำมันขนาดเล็กสว่างวูบๆ วาบๆ ตามแรงลมพัดเปลวไฟ บนศาลามีภิกษุหนุ่มกับชายหนุ่มนั่งสนทนากันอย่างเงียบๆ ด้วยระยะห่างไม่มากนัก ท่ามกลางเสียงจ๊อกๆแจ็กๆของสายฝนที่ตกไม่ขาดระยะ
ภิกษุหนุ่มทอดตาลงต่ำในระยะอกของชายหนุ่มแล้วถามขึ้น
"โยมคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ อาตมาว่าโยมน่าจะใช้เวลาที่นี่อีกสักระยะหนึ่งนะ"
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงด้วยความขมขื่น
"ผมคงลืมเธอไม่ได้จริงๆ ทั้งๆที่รู้ว่าถึงอย่างไรเธอก็ไม่กลับมา และก็ไม่รู้ว่าผมจะกลับไปที่นั่นทำไม แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่จริงๆ มันฟุ้งซ่านเหลือเกิน"
"โยมก็รู้ว่าเธอไปจากโยมเพราะโยมเองเป็นสาเหตุ"
"ผมรู้ว่าผมเป็นคนผิดที่ด่าว่าเธอ แต่เธอก็ไม่น่าจะไปคบหากับผู้ชายคนอื่น แถมยังตอนนั้นเธอก็ยังคบผมอยู่ทนโท่ นี่มันเป็นเรื่องการเป็นชู้กันนะท่าน มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรือทะเลาะอะไรกัน"
ภิกษุถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า "โยมต้องให้เวลาตัวเองและต่อสู้กับความคิดที่ต้องการเธอได้แล้ว อาตมารู้ว่าโยมทุกข์ใจและแค้นใจมาก อาตมาเข้าใจว่าจริงๆ แล้วโยมไม่ใช่คนเลวอะไร และอาตมาก็รู้อีกว่าสาเหตุนี้เกิดอาจเกิดจากการที่โยมทั้งสองไม่ได้มีเวลาต่อกัน พอเกิดช่องว่างระหว่างความรู้สึก สัญชาติญาณของมนุษย์ก็ย่อมต้องการที่พึ่งพิงและนั่นเป็นสิ่งที่โยมละเลยเธอ"
ชายหนุ่มมองภิกษุด้วยสายตาที่หมองหม่น "ผมต้องทำงานเพื่อที่จะเอาเงินที่ได้มาขอเธอแต่งงาน เธอก็รู้ แต่ทำไมเธอถึงไม่ยอมรอผมละ ทำไมถึงต้องทิ้งผม" ชายหนุ่มพูดด้วยด้วยเสียงเหมือนสะอื้น
ภิกษุพูดขึ้น "โยมตัดใจเสียเถอะ ยิ่งโยมทำแบบนี้ก็ยิ่งกลายเป็นการทำร้ายตัวเองเสียมากกว่า อาตมาว่าโยมอย่าเพิ่งกลับไปเลย ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ โยมทั้งสองอาจจะทำกุศลด้วยกันในอดีตเพียงเท่านี้ มันเป็นเรื่องของการทำบุญทำกรรมมาร่วมกัน บางทีโยมอาจจะได้เจอผู้หญิงที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้"
"แต่ผมรักเธอนี่ครับท่าน" ชายหนุ่มโพล่งสวนออกไป...
ฝนยังคงตกอยู่อย่างไม่ลดราวาศอก ทั่วบริเวณเปียกชื่นอย่างชัดเจน และด้วยแรงลมที่มาจากคลื่นฝนยิ่งทำให้อากาศที่เย็นอยู่แล้วยิ่งหยาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม
ชายหนุ่มเอามือซุกกอดกับหน้าอกก้มหน้ามองพื้นกระดานไม้ศาลา พลางพูดสนทนากับภิกษุ
"ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เมื่อไรผมจะลืมเธอลงได้เสียที ที่มาที่นี่ก็เพราะอยากจะลืม แต่ไม่ว่าจะทำอะไรๆ ผมก็คิดถึงเธอตลอดเลย จนผมไม่อยากจะทำอะไร อยากจะหลับๆไป ไม่อยากตื่น ไม่อยากฝัน"
"โยมต้องตั้งสติให้ดีนะ เพราะไม่มีใครช่วยโยมได้เท่ากับที่โยมต้องช่วยตัวเอง โยมต้องอดทนและต่อสู้กับความเป็นจริง แม้ว่าจะเจ็บปวด ทุกข์อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพราะโยมยึดมั่นถือมั่นว่าเธอเป็นคนรักของโยม แน่หละอดีตอาจจะใช่ แต่ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ทุกวันนี้เธอเป็นผู้หญิงของคนอื่นแล้ว และโยมก็เป็นคนอื่นแล้วสำหรับเธอ โยมมีหน้าที่ๆ ต้องดูแลตัวเองให้เป็นปกติที่สุด อย่าให้อำนาจของอุปาทานมาทำให้โยมต้องจมไปกับความทุกข์นั้น" ภิกษุพูดยาวเพื่อปลอบใจและให้คำชี้แนะ
"ท่านคิดว่าผมควรทำอย่างไรถึงสมควรที่สุดครับ" ชายหนุ่มพูดเสียงสะอื้นเบาๆ
"โยมปฏิบัติธรรมที่นี่อีกซักระยะจนกว่าโยมจะหาทางออกได้"
"ทำไมท่านไม่บอกทางออกกับผมเองละ ทำไมผมต้องคิดต้องหาเอาเอง"
"อาตมาเป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทาง แต่โยมต้องเป็นผู้แก้ปัญหาและต่อสู้กับตัวเองให้ได้ เพราะทุกข์นั้นโยมเองเป็นผู้ก่อ เป็นผู้เก็บ และเป็นผู้ที่กำลังเสพทุกข์นั้นด้วยอวิชชาหรือความไม่รู้ ถ้าโยมไม่หาทางออกด้วยตัวเอง ก็ไม่มีอะไรช่วยโยมได้แม้แต่อาตมาก็ตาม" ภิกษุพูดด้วยความเมตตา
"หรือว่าโยมจะเลือกว่าโยมจะออกบวชละ"
"ผมไม่พร้อมที่จะบวชหรอกครับ ผมยังมีหน้าที่การงานอยู่ที่บริษัทอีกเยอะ"
"นั่นเป็นสิ่งที่โยมเลือกนะ อาตมาบอกทางออกแล้ว"
ชายหนุ่มนิ่งคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตั้งแต่ที่เธอเข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตของเขา ชายหนุ่มยังคิดว่าถึงอย่างไรตัวเขาไม่ใช่ผู้ที่ผิด เธอต่างหากคือผู้ผิด เธอเป็นคนมีชู้และคิดนอกใจเขา เขาต่างหากที่ซื่อสัตย์และมั่นคง เขาเป็นผู้ที่ทำงานเพื่อสร้างอนาคต เพื่อสร้างครอบครัวที่มีเขากับเธอและมีลูกตัวน้อยเพื่อเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปมาในศาลาไม้แห่งนั้น พลางสะอื้นและเหมือนพร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลา ภิกษุหนุ่มมองตามอย่างนิ่งๆพลางหลุบตาลงจนเกือบหลับจนดุราวกับพระพุทธรูปผู้ไม่แยแสกับสิ่งรอบข้างใดๆ ชายหนุ่มเหลือบมองภิกษุหนุ่มด้วยความรู้สึกหดหู่ จนกลายเป็นความเย้ยหยันพร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย
"ท่านไม่เข้าใจผมหลอก เพราะท่านไม่เคยมีความรัก ท่านไม่ทุกข์เพราะท่านอยู่คนเดียว แต่ผมไม่ใช่ ผมต้องการครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง และการงานที่มั่นคง แต่ท่านไม่ใช่"
ภิกษุหนุ่มมิได้เหลือบตาขึ้น และพุดด้วยเสียงอันนิ่งเรียบว่า "โยมไม่เข้าใจตัวเองมากกว่า อย่ามาว่าอาตมาเลย เพราะแม้ว่าอาตมาจะไม่มีอย่างที่โยมได้กล่าวหา แต่ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับโยม โยมต่างหากที่ไม่พยายามเข้าใจความเป็นจริงของโลก"
"แล้วความจริงของโลกคืออะไร" เขาถาม
"ความจริงคือทุกอย่างไม่เที่ยงแท้แน่นอน ปรับแปรเปลี่ยนไป และไม่มีสาระของการยึดถือเป็นของเราตัวเรา เพราะมันมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน หากเราเข้าใจลักษณะของโลกแบบนี้ได้ เราก็ไม่ทุกข์" ภิกษุหนุ่มยังคงตอบเรียบเช่นเคย
"ผมไม่เชื่อท่าน...เพราะท่านก็เป็นมายา!" ชายหนุ่มชี้หน้าและตวาดภิกษุหนุ่ม
ภิกษุหนุ่มถอนหายใจและค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ พร้อมๆ กับยืนขึ้นและค่อยเดินด้วยอาการสำรวมไปประจันหน้ากับชายหนุ่มที่กำลังยืนชี้หน้า ด้วยหน้าตาที่ดูแปลกๆ
"โยมต้องการอาตมา อาตมารู้ดี แต่โยมไม่ช่วยตัวเองเลย โยมเอาแต่อามรณ์ตัวเองเป็นใหญ่ และไม่มีสติที่จะพิจารณาอะไรๆเลย...อาตมาคงช่วยโยมไม่ได้แล้วแหละ"
ภิกษุพูดเสร็จก็เดินตรงมายังร่างของชายหนุ่มและเดินทะลุเข้าไปประทับยังร่างของชายหนุ่มที่กำลังยืนอย่างงงงวย
ภิกษุเดินหายเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม ซึ่งเขายืนยิ่งอยู่ในศาลาไม้ศาลาไม้หลังเล็ก กลางวัดป่า ท่ามกลางเสียงฝนพร่ำในยามค่ำคืนที่มิได้ลดลง ชายหนุ่มเอามือทั้งสองกุมหน้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เขาทรุดเข่าลงอย่างหมดเรี่ยวแรง และหมดสติทรุดลงไปกับพื้นด้วยความน่าสงสาร
ซึ่งเขาไม่รู้ว่าแท้จริงภิกษุไม่ได้หายไปไหนเลย ชายหนุ่มต่างหากที่หายไป เหลือเพียงภิกษุที่กำลังนั่งสมาธิอย่างลำพังบนศาลาไม้หลังเล็กนั้นกลางผืนป่าที่เต็มไปด้วยหยาดฝน