วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

“ของที่เคยกับสิ่งที่เป็น”


ผมพบตัวเองอาศัยเงามืดของซอกลืบแห่งความรู้สึกเป็นที่หลบภัยในยามที่ตัวเองรู้สึกพ่ายแพ้ ในห้วงแห่งความท้อแท้ผมพึ่งพิงสุราเป็นน้ำทิพย์คอยปลอบหัวใจที่ไม่สามารถเป็นไม้เท้าชันกายให้ลุกขึ้นสู้ได้ บางครั้งผมต้องก้มหน้าเพื่อมิให้ผู้ใดต้องพานพบกับรอยธาราอันแห้งบนสองเนินแก้ม บางครั้งผมต้องเงยหน้าเพื่อมิอาจให้ผู้ใดต้องเห็นดวงตาอันชุ่มแดงมาอย่างผู้ปราชัย


แน่หละ! ผมอายทั้งเวิ้งฟ้า และแผ่นปฐพี


ผมเคยรู้สึกแปลกแยกจากสรรพสิ่งเพียงเพราะไร้ที่พักพิงหัวใจที่เปียกชุ่ม พยายามไล่ตะลุยอ่านตำราต่างๆเพื่อค้นหาความหมายของลมหายใจที่ค่อยๆ หลุดลอยไปแต่ละวันๆ แต่แล้วก็พบเพียงความหมายอันว่างเปล่า ทว่ากลับยิ่งปลุกเร้าให้อยากรู้สรรพสิ่ง


หลายครั้งผมปลีกตัวจากเสียงสนทนาของมิตรสหายเพียงเพื่อต้องการหาเสียงเจรจาของตัวเอง


บางครั้งผมพึ่งพิงสุราเพียงหาความบันเทิงแบบโลกีย์ แต่สุดท้ายกลับรู้สึกถูกโบยตีจากสิ่งที่เรียกว่า ความละอายต่อตนเอง


บนบาทวิถีที่ทอดยาวไปบนถนนที่จอแจขนาบคู่ไปกับเส้นทางจราจร เราไม่สามารถหาความเงียบสงบได้ หากแม้เข้าสู่พงไพรหัวใจไม่หยุดนิ่ง ก็ย่อมพบบางสิ่งที่มีสำเนียงเย้ยหยันให้ตนเองต้องพรั่นพรึง อย่างไรก็ตามหากแรงกระเพื่อมของจิตใจเต็มไปด้วยความสงบเย็น ต่อให้เครื่องยนต์อยู่ไม่ไกล แม้ลมหายใจก็ไม่สั่นสะเทือน


ผมเคยพบตัวเองอาศัยเงามืดของซอกลืบแห่งความรู้สึกเป็นที่หลบภัยในยามที่ตัวเองรู้สึกพ่ายแพ้ แต่ต่อมาผมกลับมิค่อยใยดีกับความรู้สึกใดๆ เสียงก่นด่า ดูถูก เย้ยหยัน ฉับพลันเป็นเพียงกระแสสายลมที่พัดพาความเงียบนิ่งมาสัมผัสกายใจแต่เพียงเบาบาง


ในห้วงขณะแห่งความท้อแท้ ผมค้นพบ และร่วมสนทนากับมันราวกับสหายร่วมชีวิตที่คุ้นชิน


ผมเคยรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกทิ้งอยู่กับความทรงจำอันเจ็บปวด ความพ่ายแพ้ที่น่าอดสู และประสบการณ์ที่ตนเองเป็นเพียงตัวประกอบ บัดนี้ผมกลับไปค้นหาความรู้สึกดังกล่าวที่คล้ายเงาในอดีต แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไร


วันเวลาได้พาผมไปสู่บางสิ่งบางอย่างที่ต่างไปจากวิถีเก่าๆ อยู่บ้าง สิ่งเหล่านี้ได้คอยขัดเกลาความรู้สึกที่เคยถูกกดทับให้ค่อยๆ คลายออกมา ราวกับยกหินออกจากพุ่มหญ้า ใบหญ้าที่เคยมีแต่สีแห้งกรักก็ค่อยๆ รักษาตนเองให้เป็นสีสดขจี และค่อยๆ ยืดตัวเองขึ้นสู่กลางอากาศ


ผมเป็นเพียงต้นหญ้าที่มิใยดีในดอกไม้ในกระถางสักเท่าใดนัก แน่หละผมมิเคยได้รับน้ำจากผู้ดูแล ไม่ได้ถูกประดับบนกระถางที่ประดับลวดลายอลังการ อีกทั้งมิได้ถูกนำไปประกอบเป็นจุดเด่นในยามที่ศิลปินบรรจุมวลพฤษภาไว้ในภาพจิตรกรรม แต่ต้นหญ้ากลับไม่เคยตายอย่างง่ายๆ ตายแล้วก็เกิดใหม่อย่างรวดเร็ว เพราะผมเป็นเพียงงต้นหญ้าที่ขึ้นได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนดอกไม้ที่นับวันก็ต้องถูกตัดและแช่น้ำยาอาบศพเพียงเพื่อให้มนุษย์เอาไปปักไว้ในแจกันหรู ทว่าไร้วิญญาณ...ดังนั้น ผมจึงไม่รู้สึกอะไร!


สุริยะ ฉายะเจริญ, กรกฎาคม 2553.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น