วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ภาพ ความทรงจำ ความหมาย และการจ้องมอง

(บทความนี้เป็นเอกสารประกอบนิทรรศการ image memory meaning  โดยสุริยะ ฉายะเจริญและภูริช ศรีสวย ณ หลังแรกบาร์ พระนคร กรุงเทพฯ นิทรรศการตั้งแต่ 5-31 กรกฎาคม 2557)

โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ[1] ภาควิชาสื่อดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
(jumpsuri@gmail.com)

ภาพ
            มนุษย์ถือกำเนิดเกิดมาพร้อมกับพฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อสื่อสารข้อความบางอย่างให้กับสิ่งอื่นๆ โดยเฉพาะการส่งสารให้กับมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้นการสื่อสารที่มีมาตั้งแต่อดีตก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคดิจิทัล (Digital Period) จึงมีความสำคัญทุกยุคสมัยเช่นเดียวกัน ในขณะที่ทักษะของการสื่อสารตั้งแต่อดีตก็มีวิวัฒนาการที่แตกต่างกันบ้างตามบริบทของยุคสมัย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพัฒนาด้านต่างๆ ควบคู่ไปกับความเป็นมาของมนุษยชาติ
            การสื่อสารด้วยภาพ (Visual Communication) ถือเป็นการสื่อสารที่อาศัยรหัส (Code) อันเกิดจากกระบวนการเห็นและถอดความหมายไปสู่ความเข้าใจในสาร (message) ที่ผู้สร้างสารต้องการจะบอกเล่า การเล่าเรื่องด้วยภาพจึงอาศัยดวงตาเป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสิ่งที่ปรากฏภายนอกสู่กระบวนการถอดความหมาย จนนำไปสู่การเข้าใจความหมายของภาพเสมือน (Icon) ภาพดัชนี (Index) หรือภาพสัญลักษณ์ (Symbol) เพราะฉะนั้นการเห็นจึงเป็นกระบวนการรับรู้ความหมายของสารได้อย่างดีที่สุด หรือถ้าจะกล่าวได้ว่าในสัมผัสทั้ง 5 (การเห็น,การได้ยินเสียง, การได้กลิ่น, การได้รสอาหาร, การได้สัมผัสทางกาย) ของมนุษย์นั้น การมองเห็นเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์เชื่อว่าโลกใบนี้มีอยู่จริง
            ความสำคัญของการเห็นจึงเป็นหนทางที่เพิ่มพูนประสบการณ์ให้เราได้ความรู้มากขึ้น ในขณะที่หากจะยกระดับการเห็นไปสู่การดูก็จะยิ่งทำให้การใช้ตาในการจ้องมองมีประสิทธิภาพมากกว่าการมองเห็น แต่เป็นการมองดู, จ้องดู หรือจ้องมองเพื่อค้นหาสารัตถะที่ซุกซ่อนอยู่ภายในสิ่งที่จ้องมอง การจ้องมองจึงไม่ได้นำไปสู่การผ่านพ้น แต่กลับเป็นการสร้างความทรงจำจากสิ่งที่ปรากฏทั้งรูปธรรมและนามธรรม
ความทรงจำ
            ความทรงจำที่เกิดจากการจ้องมองไม่ได้เกิดด้วยความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของผู้จ้องมองว่ามีความต้องการที่จะบันทึกภาพที่เห็นให้อยู่ในคลังภาพทรงจำ (memory) ที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งภาพความทรงจำที่อยู่ในสมองของมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากเสียยิ่งกว่าภาพที่ถูกบันทึกด้วยฟิล์มหรือเทคโนโลยีดิจิทัล เพราะภาพที่ถูกบันทึกด้วยกล้องเป็นเพียงสภาพการณ์ชั่วขณะที่ผู้จ้องมองได้กระทำการยิบยืมปรากฏการณ์ที่ผ่านพ้นเท่านั้น ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นภาพเสมือนที่มีทั้งความเป็นจริงและความไม่จริง หากแต่ก็อยู่บนพื้นฐานของการมีอยู่จริงของโลกวัตถุ
            ในขณะที่คลังภาพที่ถูกบันทึกลงในสมองกลับเต็มไปด้วยการบิดเบือน ตัดทอน และเสริมแต่งโดยการปรุงแต่งทางจิตที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน สิ่งดังกล่าวทำให้ภาพที่ปรากฏอยู่ในความทรงจำไม่ใช่ภาพเสมือนจริง แต่บินเบือนตามความต้องการของผู้บันทึกโดยมีเวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพที่อยู่ในใจชัดเจน พร่าเลือน บิดเบือนหรือเสริมแต่งมากน้อยเพียงใดตามแต่ผู้บันทึกปรารถนา


 
ความหมาย
           และเมื่อภาพที่กลายมาเป็นความทรงจำได้สร้างชุดความหมายขึ้นจากการประชุมกันของแต่ละสัญญะ (Sign) ความหมายที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่ถอดรหัสความหมายนั้น ซึ่งไม่เพียงเป็นความหมายในชั้นต้น แต่พัฒนาไปสู่ความหมายเชิงวัฒนธรรมที่เรียกว่า “มายาคติ” (Myth) และมายาคตินั่นเองคือสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราสามารถสื่อสารในระดับความหมายที่ลึกซึ้งกว่าความหมายในชั้นต้น
            ดังนั้นความหมายเชิงมายาคติที่ปรากฏขึ้นนั้นจึงเป็นเสมือนสิ่งที่ถูกปรุงแต่งและทำให้เกิดการเชื่อมโยงไปสู่ความหมายที่นอกเหนือจากตัววัตถุ ซึ่งก็จะทำให้เกิดการตีความหมายที่แต่ละคนล้วนต้องมีทักษะและประสบการณ์ในการในการถอดความที่สอดคล้องกับสารนั้น และที่สำคัญความหมายในเชิงมายาคติเองนั้นก็มีปัจจัยทางวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการนำไปสู่การสื่อสารได้ชัดเจน
นิทรรศการ
           ภาพถ่ายที่ปรากฏในนิทรรศการ image memory meaning จึงไม่ใช่ภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นหรือสัมผัสกับความงามที่เกิดขึ้นจากกระบวนการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ แต่เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงสภาวะบางอย่างที่ถ่ายทอดจากกระบวนคิดของผู้สร้างสรรค์มากกว่าจะแสดงถึงทักษะในทางศิลปะ ผู้สร้างสรรค์จึงมิอาจจะมุ่งหมายให้เกิดความเข้าใจในสาระชั้นต้นของภาพที่เห็น แต่ต้องการนำเสนอภาพที่มีความหมายโดยนัย ทั้งนี้ความหมายหรือเนื้อหาของผลงานแต่ละชุดไม่ได้พยายามที่จะแสดงท่าทีที่จะยัดเยียดความเข้าใจของผู้ดูมากไปกว่าการตัดสินใจของผู้ดูเองว่าเห็นหรือสัมผัสความหมายอะไรบ้างจากสิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
           ผู้ดูมีส่วนสำคัญในการตีความผลงานที่เห็นมากเท่ากับการที่ผู้สร้างสรรค์ต้องการให้ผู้ดูเห็นอะไร ทั้งนี้ก็มิอาจการันตีได้ว่าผู้สร้างและผู้ดูจะสามารถเข้าใจเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ภายในภาพที่ปรากฏหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญคือผู้สร้างสรรค์เองก็มิอาจจะบีบบังคับให้ผู้ดูรู้สึกถูกทำให้เชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะผู้ดูเองก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกันแต่ละบุคคล และความแตกต่างนั้นเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การถอดความหมายเชิงมายาคติในผลงานมีความแตกต่างกันไป ดังนั้นผู้ดูจึงมีสิทธิ์ที่จะสร้างความทรงจำชุดใหม่ที่เกิดขึ้นจากการจ้องมองผลงานในชุดดังกล่าวนี้ได้อย่างแนบเนียน
 
  แนวความคิด
สุริยะ ฉายะเจริญ มีทัศนะดังนี้
 
            ภาพ” (image) ที่มนุษย์เห็นไม่เพียงเป็นสิ่งที่เพิ่มพูนการประสบพบเจอกันของประสบการณ์ของแต่ละปัจเจกบุคคล  แต่ยังให้ความหมายในเชิงการระลึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเรียกว่า ความทรงจำ” (memory)

เมื่อภาพถ่าย (photography) มีหน้าที่หนึ่งคือการสร้าง ภาพแห่งความทรงจำ” (Images of Memories) ขึ้นมา ด้านหนึ่งก็เป็นการสถาปนาความหมายใหม่ที่เกิดขึ้นจากผู้หนึ่งผู้ใด นั่นย่อมหมายความว่า ภาพถ่ายมีส่วนสำคัญในการสร้างภาพความทรงจำใหม่ (Creating new memories) ที่หาใช่ความจริงไม่ กระบวนถ่ายภาพจึงไม่เพียงสร้างสิ่งที่ไม่เป็นจริง (ทั้งหมด) เท่านั้น หากยังบิดเบือนความจริง (ทั้งหมด) ให้อยู่ในรูปขอบความเสมือนไม่ต่างจากโลกในจินตนิยาย
 
 
เพราะฉะนั้นแล้วภาพ (image)  ความทรงจำ (memory)  และความหมาย (meaning) จึงเป็นเพียงการประชุมกันของ สิ่ง” (   ) ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสถาปนาโลกใหม่ภายใต้ร่มเงาของภาพมายาที่ดูประหนึ่งว่าเป็นโลกของความเป็นจริง ซึ่งปรากฏได้เพียงจินตนาการที่ถูกทำให้เชื่อว่ามีความเป็นจริงปรากฏอยู่
ในขณะที่ ภูริช ศรีสวย มีทัศนะดังนี้


เรื่องราวในประวัติศาสตร์มีส่วนช่วยในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ประวัติศาสตร์ศิลปะก็เช่นกันมีส่วนช่วยให้เราเข้าใจศิลปะในสมัยปัจจุบันมากขึ้น ยิ่งประเภทของงานศิลปะที่มีรากฐานแข็งแรงอย่างงานจิตรกรรมที่มีประวัติและเรื่องราวต่างๆ มากมายรวมทั้งการเปลี่ยนผ่าน การข้ามผ่าน การเป็นเครื่องมือ ทั้งร่วมกันและไม่ร่วมกันกับภาพภ่าย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ถูผลิตขึ้นเพื่อผลิตภาพ ทำให้ข้าพเจ้าอยากทำความเข้าใจกับคำว่า ภาพ
ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันเป็น "ยุคของการซ้อนทับ การบิดเบือนหรือการแยกกันของภาพที่นำไปสู่การเข้าถึงความจริง" เราควรจะพิจารณาต่อการรับรู้ภาพหรือสิ่งต่างๆ หรือเพิ่มการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ
ข้าพเจ้าเห็นความสำคัญของภาวะที่อ้างขึ้น ในเมื่อการเข้าถึงความจริงแท้นั้นเป็นไปได้ลำบาก เพราะแต่ละความจริงนั้นมีเหตุผลในการรองรับที่ต่างกัน จึงเป็นการยากต่อการเข้าถึงความจริง จึงอยากที่จะทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อหาสมดุลในการใช้ชีวิตระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ผ่านการทำงานศิลปะ2มิติ(จิตรกรรมและภาพถ่าย)
 
            ผลงานที่จัดแสดงในนิทรรศการ image memory meaning นี้ ติดตั้งตามลักษณะบริบทของพื้นที่ร้านอาหารหลังแรกบาร์ (Hlung Raak Bar Restaurant Gallery) ซึ่งไม่เพียงมีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ใช้สอยเท่านั้น แต่ยังมีข้อจำกัดทางด้านความหมายของพื้นที่ที่มิได้เน้นเรื่องการจ้องมอง แต่เน้นไปที่การลิ้มรส ดื่มกิน และการสนทนา ดังนั้นข้อท้าทายของผู้สร้างสรรค์คือต้องแสดงให้เห็นถึงการจัดการกับพื้นที่ที่จัดแสดงให้แนบเนียนมากกว่าความแปลกแยก
            เพราะฉะนั้น แม้ว่าการติดตั้งผลงานในชุดดังกล่าวนี้จะเป็นเพียงผลงาน 2 มิติเท่านั้น หากแต่ต้องแข่งขันกับบริบทอันหลากหลายของพื้นที่จัดแสดงมากเท่ากับการที่ให้ความสำคัญกับเนื้องาน สภาพพื้นที่อันเต็มไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้ กระจก หน้าต่าง หิ้ง อาหาร กลิ่น หรือแม้กระทั่งผู้คนที่เข้ามาร่วมในพื้นที่ดังกล่าว จึงเป็นเสมือนโจทย์และคำตอบอันสำคัญที่ทำให้การสร้างสรรค์ผลงาในชุดนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง (Paradox) ที่ไม่จำเป็นต้องประนีประนอมให้เกิดความลงตัว ซึ่งความไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกลับกลายเป็นผลพวงของการไม่จำกัดผลงานให้อยู่ในพื้นที่อันเป็นที่เป็นทาง แต่เป็นพื้นที่ทางเลือก (Alternative Space) ที่ไม่สามารถให้ความสำคัญกับการจ้องดูมากเท่ากับการมองเห็น
บทสรุป
            เมื่อปรากฏการณ์ในนิทรรศการ image memory meaning เป็นความขัดแย้งที่ไม่ลงตัว การเรียกร้องเอกภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นไปได้ยาก เพราะการเรียกร้องสัมพันธภาพในสิ่งที่ไม่มีสัมพันธภาพก็ย่อมเป็นการหลอกตัวเอง ภาพ ความทรงจำ และความหมายจึงไม่เพียงเต็มไปด้วยความหลากหลายเท่านั้น หากแต่ยังคงความความขัดแย้งที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งดังกล่าวนั้นย่อมเป็นเรื่องของปัจเจกชนมากกว่าความเป็นมหาชน การจ้องดูเป็นเรื่องสิทธิในการที่จะสามารถจ้องดู มนุษย์เราไม่ควรให้การจ้องดูเป็นการบังคับให้ดู เพราะเมื่อใดก็ตามที่ภาพ ความทรงจำ และความหมายของมหาชนเกิดขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นย่อมเท่ากับว่าความเป็นปัจเจกก็จะสูญสลายหายไปพร้อมกับการสถาปนาของอำนาจที่เหนือกว่าสถานะของความเป็นปัจเจกชน (Individualist)



[1] ติดตามผลงานบทความและบทวิจารณ์ศิลปะ online ได้ที่ http://jumpsuri.blogspot.com/