วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องเล่าของโน๊ะกับฮวม

อายิโน๊ะ (วีรพงษ์ ศรีตระกูลกิจการ) กับราฮวม (สุวิทย์ มาประจวบ) เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผมที่คณะจิตรกรรมฯ[1] เพื่อนทั้งสองของผมมีความโดดเด่นตั้งแต่เมื่อแรกเข้ามาแฟรชชี่[2]ด้วยกัน พวกเขามักมีผลงานในตอนเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ดีกว่าหลายๆ คน ด้านหนึ่งเขาทั้งสองเหมือนกันตรงความโดดเด่นตั้งแต่เมื่อตอนซ่อมน้อง[3] ด้านหนึ่งในขณะที่อายิโน๊ะฝักใฝ่และหันหน้าให้กับการสร้างสรรค์แบบอะคาเดมิก (Academic)[4] แต่ราฮวมกลับมีนิสัยที่คิดค้นให้พ้นกรอบอยู่ตลอด ถึงกระนั้นทั้งคู่ดูจะมีไฟคุกรุ่นในการสร้างสรรค์ตลอดเวลาทั้งในห้องเรียนและในวงเมรัย
            อายิโน๊ะเปลี่ยนตัวเองจากตี๋น้อยฝั่งธน (บุรี) มาเป็นไอ้หนุ่มผมยาวละแวกถนนหน้าพระลานที่ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่มาก ความพึงพอใจต่อความเท่ของบรรดาสาวๆ เป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่สมัยเรียน ยิ่งตอนที่เขาทำงานอยู่ที่ห้องภาพพิมพ์วู๊ดคัท (Wood cut)[5] มักมีของฝากทั้งขนมและที่ระลึกจากสาวๆ มาเป็นกำลังใจมากมาย เรียกได้ว่าหัวกระไดห้องวู๊ดคัท ไม่แห้งเสียทีเดียว แต่เขาก็ไม่เคยที่จะตกลงปลงใจกับใครเลย (ซึ่งก็เป็นที่หงุดหงิด อิจฉา และตลกของเพื่อนๆถึงพฤษติกรรมแบบนี้ของเขา) แต่ใครเล่าจะรู้ว่าตอนปีหนึ่งผมเกรียนเขาเคยแอบชอบสาวคณะโบราณอนงค์หนึ่งที่อรชรยิ่งนัก ทว่าได้แต่เพียงด้อมๆ มองๆ ยืนๆ เฝ้าๆ อยู่เป็นระยะๆ สนทนากันบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายเรื่องราวก็จบลงตรงที่พระเอกของเราไม่ชนะใจสาวเจ้า ก็เป็นว่าบทแรกแห่งการรู้จักก็ลางเลือนกันไป ทิ้งไว้เพียงเรื่องเล่าในยามสนทยาของหนุ่มผมยาวถนนหน้าพระลานของเราเท่านั้น
            แรกเริ่มเดิมทีนั้นเพื่อนของผมคนนี้ไม่ได้รับการตอบรับในผลงานชุดแรกๆ สักเท่าใด เรียกว่าส่งงานเอาสูจิบัตรกันเลยดีกว่า (คือส่งประกวดแล้วคัดออกแต่ได้รับสูจิบัตรงานเปิดนิทรรศการ) ต่อมาเมื่อระยะเวลาฟักตัวได้ถึงกาลเวลาของมันเอง อายิโน๊ะก็ได้รางวัลเหรียญทองศิลปกรรมแห่งชาติ ประเภทภาพพิมพ์ เป็นคนแรกในรุ่นของเรา[6] ในขณะที่เรียนอยู่ชั้นปี 5 ผมจำได้ว่าขณะที่ได้รับข่าวว่าได้รางวัลนั้น ทั้งอายิโน๊ะ ราฮวม ผม และเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คณะจิตรกรรมฯ กำลังนั่งรถบัสกลับจากมิ้ตติ้ง[7]ในอาการกึ่งแฮ้งค์โอเวอร์ (Hangover) หลังจากกลับมาถึงที่คณะจิตรกรรมฯ ผมเห็นเขาเข้าไปกราบพื้นตรงฐานอนุสาวรีย์อาจารย์ศิลป์[8]ที่หน้าคณะด้วยความปีติ และพวกเราจบกิจกรรมวันนั้นด้วยร้านอาหารละแวกหน้าพระลานเพื่อดื่มเมรัยแสดงความยินดีต่ออายิโน๊ะพร้อมผองเพื่อนในรุ่นที่มากมาย
            ส่วนราฮวมนั้นในช่วงซ่อมเขาแสดงออกถึงความตลกขบขันดูเป็นสัญลักษณ์ของเสียงหัวเราะ แต่เมื่อสัมผัสเข้าจริงๆผมเห็นเขาเป็นอัจฉริยะทางไอเดีย (Idea)เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะมีชั้นเชิงการสร้างสรรค์แบบงาน 3 มิติที่ดีเยี่ยม (โดยเฉพาะเรื่องการใช้วัสดุที่แปลกจากประติมากรคนอื่น เช่น เทคนิคกระดาษ แผ่นเหล็กจากถังน้ำมัน เทคนิคทำให้ผลงานเคลื่อนไหวได้ เป็นต้น) แต่การผลิตผลงานจิตรกรรมก็มีฝีมือในระดับที่ดีเยี่ยมทีเดียว เพื่อนผมคนนี้เป็นคนโดดเด่นมากในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในวิชาคอมโพสฯ[9]เขามักจะสร้างผลงานนอกลู่นอกทางอย่างน่าสนใจและเป็นที่ชื่นชมจากครูบาอาจารย์ที่สอนอยู่เสมอๆ จริงๆ แล้วราฮวมส่งผลงานและได้รางวัลมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นรายการเล็กหรือใหญ่เพียงไหน เขามักจะพยายามที่จะส่งเพื่อผลักดันให้ตัวเองไปตามจุดหมายที่วางไว้ เขาเคยบอกกับผมในช่วงหนึ่งสมัยเรียนว่าอยากได้เกียรตินิยม ซึ่งขณะนั้นเกรดเฉลี่ยของเขายังไม่ถึง แต่อีกเพียงหนึ่งปีเมื่อเขารับปริญญาตรีเขาก็ทำได้ในสิ่งที่เคยพูดไว้
            ความมุ่งมั่นขยันหมั่นเพียรตามแบบฉบับชายหนุ่มจากที่ราบสูงของราฮวมเป็นที่เห็นได้ชัดจากผลงานในช่วงเรียนที่ดีเยี่ยมและรางวัลจากการประกวดมากมาย ตราบจวบจนผลงานประติมากรรมเหล็กรูปทรงคล้ายตัวตั๊กแตนอันเป็นที่ฮือฮามากสำหรับเพื่อนในรุ่น ทุกๆ คนต่างทายเป็นเสียงเดียวกันว่า ราฮวมต้องได้รางวัลใดรางวัลหนึ่งเป็นแน่ และเขาก็ไม่ทำให้คำทำนายของเพื่อนๆ ต้องเป็นหมัน ผลงานชิ้นนี้มีชื่อเท่ๆ เก๋ๆ ว่า “บทสนทนาแห่งการเดินทาง” ได้รับรางวัลที่ 1 จากเวทีประกวด Yong Thai Artist Award ถือเป็นการเปิดตัวเองให้วงการได้ประจักษ์ถึงความสามารถของเขา และปีต่อๆ มาเขาก็ได้รางวัลเหรียญทอง ประเภทประติมากรรม จากการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ ซึ่งถือว่าราฮวมมีความประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะรางวัลแรกเป็นรางวัลของนักศึกษาศิลปะต้องแข่งเฉพาะนักศึกษาด้วยกัน ส่วนอีกรางวัลเป็นรางวัลระดับชาติต้องแข่งกับศิลปินทั่วประเทศ ซึ่งนับว่ายากกว่าการประกวดครั้งแรก แค่รางวัลทั้งสองเวทีผมว่าราฮวมเป็นศิลปินที่น่าจับตามองทีเดียวในยุคนี้
อีกเรื่องหนึ่งของเพื่อนทั้งสองของผมที่อยากจะเล่า คือ พวกเขามีความใส่ใจกับ เสื้อ ผ้า หน้า ผม รองเท้า เข็มขัด เครื่องแต่งกาย และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าคนรอบข้างหรือคนอื่นๆ จะมองการแต่งตัวของทั้งสองมีสไตล์แบบไหน แต่ในหมู่เพื่อนๆ จะรู้กันดีว่า ทั้งคู่จะเลือกสรรหาอาภรณ์ของตัวเองให้ลงตัวที่สุด ดูมีสไตล์ที่สุด ถ้าไม่นับเวลาที่พวกเขาทำงานศิลปะแล้ว น้อยครั้งเต็มทีที่เวลาปรากฏตัวต่อสาธารณะแล้วเขาทั้งสองจะมีภาพลักษณ์ของอาภรณ์ที่ไม่น่าดู
ในเรื่องความชอบส่วนตัวนั้นผมมองว่าราฮวมมักมีความสุขกับเรื่องเสียงเพลงร่วมสมัย วัยรุ่น แฟชั่น ข่าวดารา เครื่องแต่งกายดีๆ สถานที่เท่ๆ ดูดีมีสไตล์เก๋ๆ แต่อายิโน๊ะมักมีความสุขเมื่อฟังเพลงเก่าแบบซึ้งๆ ในยุคต่างๆ และด้วยความชอบเรื่องเก่าๆ โบราณๆ แม้จะเดินท่องท่ามกลางซากอิฐโบราณสถานอยู่กลางแดดเขาก็พึงพอใจอย่างนั้น
ในเรื่องการร่ำรสเมรัยของทั้งคู่เป็นสิ่งที่อดจะเล่าถึงไม่ได้ เพราะทั้งคู่ก็มีสไตล์การกินดื่มที่ต่างกัน ในขณะที่อายิโน๊ะมักเริ่มต้นการดื่มไปอย่างแช่มช้าและเนิบนาบ (เป็นส่วนใหญ่นะครับ ส่วนที่ดุดันก็มีแต่น้อยครั้ง) และมักมีประเด็นในวงสนทนาในเรื่องต่างๆ รอบตัวอย่างจริงจัง นับตั้งแต่เรื่องเกี่ยวกับสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่คณะจิตรกรรมฯ เรื่องอาจารย์ศิลป์ ศิลปินรุ่นเก่าๆ ศิลปะ การเมือง ประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งความรัก บทสนทนาที่ดูจริงจังแต่บางคราวก็สนุกสนาน และเมื่อดีกรีของฤทธาแห่งเมรัยทำให้ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อๆ แล้ว บทสนทนาอันเผ็ดร้อนและเมามันมักพรั่งพรูออกจากศิลปินหนุ่มผมยาวคนนี้ราวคนละคนกับบุคลิกเคร่งครัดในยามเป็นปกติ
สไตล์ของราฮวมในการร่ำเมรัยนับว่าต่างจากอายิโน๊ะพอสมพอควร เขามักเริ่มดื่มอย่างเมามันสนุกสนานและยิ่งสนุกมากขึ้นๆ (หากแต่เมื่อประเด็นเคร่งเครียดขึ้นมาเจ้าหนุ่มคมขำของผมคนนี้เผ็ดร้อนเสียยิ่งกว่าพริกขี้หนูสวนเสียอีกนะครับ) เขามักดื่มอย่างรื่นเริง เฮฮาสนุกสนานพร้อมกับคลอเสียงเพลงอย่างสบายอารมณ์ ยิ่งหากมีกีตาร์อยู่ในกำมือแล้ว เพื่อนๆ ทั้งหลายสามารถขอเสียงเพลงได้ดั่งคาราโอเกะเป็นหมื่นๆ บทเพลง เขาจะเล่นอย่างร้อนแรงราวกับคอนเสิร์ตวู๊ดสต๊อก (Woodstock) ทีเดียว และแน่นอนสมนาคุณของการขอเพลงก็คือ เสียงร้องอย่างเอาจริงเอาจังของราฮวมนั้นเอง ซึ่งหากในวงนั้นปรากฏอายิโน๊ะด้วยแล้ว เราจะได้ยินการบรรเลงสรรพเสียงของทั้งคู่อย่างเอาจริงเอาจังและเอร็ดอร่อยที่สุดเท่าที่จะหาฟังได้ในวงเมรัยแห่งมิตรภาพ
เรื่องเล่าของอายิโน๊ะและราฮวมยังมีอีกมากมายหลายหลายบทบาท ทั้งการเป็นศิษย์เก่าคณะจิตรกรรมฯ อาจารย์สอนศิลปะ บทบาทในครอบครัว (บทบาทของคนรักผมก็มิอาจรู้ได้ว่าทั้งสองได้แอบคบใครอยู่หรือเปล่าคงต้องเชิญคุณๆ ช่วยสืบด้วยอีกแรงครับ) แต่บทบาทที่สำคัญของทั้งสองคือการที่พวกเขาตัดสินใจก้าวสู่ความเป็นศิลปินที่ขยัน เป็นนักศิลปะที่เต็มไปด้วยอุดมคติ เป็นคนสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ดีเยี่ยม และพร้อมที่จะเดินทางไปในวงการศิลปะร่วมสมัยไทยซึ่งโรยด้วยหนามอันแข็งกร้าวมากกว่ากลีบของกุหลาบอันอ่อนนุ่มและหอมหวน
สุดท้ายแล้วผมขอบอกตามตรงว่าภูมิใจจริงๆ ที่เห็นเพื่อนทั้งคู่ของผมแสดงนิทรรศการศิลปะด้วยกัน ดีใจจริงๆ ที่มีโอกาสได้เขียนความรู้สึกและเล่าอะไรๆ ให้คุณๆ ได้อ่าน ที่สำคัญแล้วผมไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นศิลปิน เป็นคนดัง เป็นคนสำคัญอย่างไร ผมสนใจแค่ว่าโชคดีที่พวกเราได้มาเป็นเพื่อนกัน พร้อมๆ กับเพื่อนๆ อีกมากมายในรุ่น (คณะจิตรกรรมฯ) ของพวกเรา.
โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ (อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม)




[1] คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร รุ่นที่ 58
[2] น้องใหม่ปี 1
[3] กิจกรรมรับน้องใหม่อันเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่คณะมาอย่างยาวนาน
[4] ศิลปะตามแบบแผนดั้งเดิม เช่น วิชาวาดเส้น กายวิภาค ทฤษฎีศิลป์ ประวัติศาสตร์ศิลป์ เป็นต้น
[5] Wood cut เป็นภาพพิมพ์ที่แกะแผ่นไม้ให้เป็นแม่พิมพ์ ซึ่งเป็นเทคนิคอันเป็นเอกลักษณ์ของอายิโน๊ะมาจนถึงปัจจุบัน ห้องวู๊ดคัทที่กล่าวถึงอยู่ใกล้กับประตูเข้าออกทางฝั่งคณะโบราณคดีในปัจจุบัน (พ.ศ. 2554)
[6] ผมอยากจะเล่าว่ารุ่นของผมมีเพื่อนได้รางวัลเหรียญทองศิลปกรรมแห่งชาติ ถึง 3 สาขา คือ ประเภทจิตรกรรม ประเภทประติมากรรม และ ประเภทภาพพิมพ์
[7] มิ๊ตติ๊ง (Meeting) คือ กิจกรรมรับน้องใหม่สุดท้ายของคณะจิตรกรมฯ มีการเดินทางไปทะเลต่างจังหวัดเป็นกิจกรรมที่สนุกที่สุดประจำปีของคณะ ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะไปร่วมกิจกรรมดังกล่าว ดังมีคำที่พูดกันบ่อยๆในหมู่ศิษย์เก่าของคณะว่า “มึงจะไปมิ๊ตติ๊งป่าววะ?
[8] ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ประติมากรชาวอิตาลีผู้วางรากฐานมหาวิทยาลัยศิลปากรและบิดาศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย
[9] วิชาองค์ประกอบศิลป์ (Composition) หรือเรียกกันติดปากสั้นๆว่า วิชาคอมโพสฯ เรียนเกี่ยวกับการนำความคิดสร้างสรรค์มาสร้างเป็นผลงานอย่างอิสระ โดยช่วงแรกต้องทำงานตามทฤษฎี แต่ต่อมาก็สามารถทำงานได้ตามอิสระ หรือตามโจทย์ที่ตั้งไว้