วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย

โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ
(อาจารย์ประจำภาควิชาสื่อดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม) jumpsuri@gmail.com
*บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อประกอบการบรรยายเรื่อง “สภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย” วิชาทัศนศิลป์วิจักษ์ หลักสูตรทัศนศิลปศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร

บทนำ 
          บทความนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเพื่อประกอบการสอนวิชาทัศนศิลป์วิจักษ์ หลักสูตรทัศนศิลปศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งผู้เขียนได้ประมวลความรู้ในเรื่องของประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ไทยสมัยใหม่มาวิเคราะห์เพื่อแบ่งประเภทผลงานเป็นหมวดหมู่ตามข้อสมมุติฐานของผู้เขียน โดยใช้เกณฑ์ของรูปแบบและแนวเรื่องในการนำเสนอผลงานของศิลปินมาเป็นหลักสำคัญในการแบ่งกลุ่มของผลงาน
            อนึ่งผู้เขียนได้จัดการแบ่งประเภทนี้เพื่อง่ายสำหรับการทำความเข้าใจถึงอิทธิพลศิลปะสมัยใหม่ที่แพร่กระจายอิทธิพลไปทั่วโลกตั้งแต่ราวปลายศตวรรษที่ 19 จวบจนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการนำเอารูปแบบของแนวทางลัทธิในงานศิลปะสมัยใหม่ของศิลปะตะวันตกมาเปรียบเทียบกับบริบทของงานทัศนศิลป์ร่วมสมัยของไทยนั้น เป็นไปในเชิงของการเปรียบเทียบเชิงประติมาณ (Iconography) และรูปแบบ (Style) ทางกายภาพของผลงานศิลปะ  แต่กระนั้นก็มิได้ถือเอาการวิเคราะห์ของตัวผู้เขียนเองเป็นข้อการันตีที่สิ้นสุดจนมิอาจโต้แย้งได้ ทั้งนี้ถ้ามีผู้รู้ท่านใดตั้งข้อสังเกตหรือทำการศึกษาวิเคราะห์วิจัยไปจนถึงการแตกประเด็นที่หลากหลายกว่าบทความนี้ก็นับเป็นการต่อยอดที่มีคุณประโยชน์ไปสู่องค์ความรู้ที่จะพัฒนายิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ และเป็นข้อดีต่อวงวิชาการทางด้านทัศนศิลป์ของไทยเป็นอย่างยิ่ง
สภาวะสมัยใหม่ในบริบทของงานทัศนศิลป์ไทย
            สำหรับในบทความนี้ “สภาวะสมัยใหม่” ในบริบทของงานทัศนศิลป์ไทย คือ การที่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตโดยใช้อิทธิพลของศิลปะตะวันตกในศตวรรษที่ 20 เป็นแนวทางในการทำความเข้าใจผลงานทัศนศิลป์ไทยสมัยใหม่ โดยนับตั้งแต่การเข้ามารับราชการของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นผู้ร่วมวางระบบรากฐานการศึกษาศิลปะแบบตะวันตกในประเทศไทย โดยที่วิทยาการความรู้ที่ท่านนำมาเป็นรากฐานการศึกษาให้กับนักศึกษานั้นเป็นการเรียนแบบหลักวิชาการทางศิลปะแบบคลาสิก (Classic Art) มากกว่าจะเป็นศิลปะแบบสมัยใหม่ตามแบบ Modern Art ตะวันตก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การเปลี่ยนวิธีการสอนในระบบครูช่างแบบไทยเดิมมาเป็นแบบใช้เกณฑ์ตามหลักวิชาศิลปะมาสอนกับนักศึกษา ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจศิลปะแบบตะวันตกให้กับนักศึกษาศิลปะในยุคสมัยนั้นเป็นอย่างมาก
            “สภาวะสมัยใหม่” ในบริบทนี้จึงหมายถึงการถือเอารูปแบบของศิลปะตะวันตกเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และทำการวิวัฒนาการด้วยการประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในบริบทของความเป็นไทยเพื่อเป้าหมายของการสร้างเอกลักษณ์ของผลงานศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย แม้ปัจจุบันวงการทัศนศิลป์ไทยจะก้าวไปสู่ความเป็นสากลมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ข้อสังเกตที่สำคัญก็คือ ศิลปินไทยเองก็พยายามที่จะก้าวให้เท่าทันกับความเป็นศิลปะร่วมสมัย (Contemporary Art) ของนานาชาติที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางด้วยอิทธิพลของความเป็นโลกาภิวัฒน์ นั่นเท่ากับว่าปัจจัยสำคัญในการได้รับการยอมรับจากนานาชาติกลายเป็นความจำเป็นต่อคุณค่าและความสำคัญของผลงานศิลปะนั้นๆ มากเท่ากับคุณภาพของตัวมันเอง ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนได้จำแนกประเภทของทัศนศิลป์ไทยสมัยใหม่ได้เป็น 13 ประเภท ดังนี้


1. ศิลปะเหมือนจริง
2. ศิลปะแบบคณะราษฎร
3. จิตรกรรมฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙
4. ศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์
5. ศิลปะคิวบิสม์
6. ศิลปะแบบแสดงอารมณ์
7. ศิลปะนามธรรม
8. ศิลปะเพื่อชีวิต
9. ศิลปะไทยสมัยใหม่
10. ศิลปะเฉลิมพระเกียรติ
11. ศิลปะแนววิพากษ์สะท้อนสังคมร่วมสมัย
12. ศิลปะสื่อผสมและอินสตอลเลชั่น
13. ศิลปะสื่อใหม่

ศิลปะเหมือนจริง
ศิลปะเหมือนจริงในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยแนวคิดความงามแบบอุดมคติตามหลักวิชาตะวันตก (Academic) โดยเป็นความจริงเชิงภาพสัญญะ (Icon) ที่นำไปสู่การสื่อความหมายตรงได้ชัดเจนว่าภาพลักษณ์ที่ปรากฏเป็นภาพของอะไร ผลงานแบบเหมือนจริงดังกล่าวนี้มีทั้งประเภทจิตรกรรมและประติมากรรม อันถือเป็นพัฒนาการทางศิลปะที่เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เข้ามามีบทบาทในการสร้างสรรค์งานศิลปะและรวมไปถึงการก่อร่างสร้างตัวของมหาวิทยาลัยศิลปะการในระยะแรกเริ่ม
ลักษณะที่โดดเด่นของผลงานแบบเหมือนจริงคือผลงานศิลปะจะแสดงลักษณะทางกายภาพที่เป็นจริงเชิงอุดมคติ ใช้การจัดวางองค์ประกอบที่ถูกต้องตามหลักทฤษฎีเพื่อให้เกิดเอกภาพขึ้นในผลงาน ศิลปินผู้สร้างสรรค์วางระบบการทำงานเป็นขั้นตอนเพื่อให้ผลงานที่สำเร็จเป็นไปตามเป้าหมายของความสมบูรณ์แบบคล้านศิลปะแบบคลาสิกของตะวันตก (Classic Art)

ศิลปะแบบคณะราษฎร
            ศิลปะแบบคณะราษฎร ในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยแนวคิดแบบอุดมคติตามหลักวิชาตะวันตก และนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในด้านของประสบการณ์เชิงสุนทรียะและด้านการเมืองในห้วงทศวรรษ พ.ศ.2480-2500
            ผลงานศิลปะส่วนใหญ่ในประเภทนี้จะเป็นงานจิตรกรรมและประติมากรรม ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับศิลปะแบบเหมือนจริงมาก เพียงแต่เป้าหมายของการสื่อความหมายของผลงานจะอยู่ในกรอบของการนำเสนอตามนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้นที่ยังอยู่ในช่วงของหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณายาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย อันนับเป็นช่วงของการก่อร่างสร้างแนวคิดเพื่อส่งเสริมให้สังคมเริ่มเข้าใจในเป้าหมายถึงการปกครองแบบใหม่ตามนโยบายรัฐนิยมในยุคสมัยนั้น
            ศิลปะแบบคณะราษฎรสร้างขึ้นเพื่อเป้าหมายทางการเมืองและการปลุกเร้าให้ประชาชนรักชาติและภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทยสมัยใหม่ โดยเนื้อหาของผลงานศิลปะจะอยู่ในขอบเขตของสำนึกชาตินิยม การปลูกฝังค่านิยมแบบรัฐทหาร และคุณค่าของปัจเจกชนที่เป็นส่วนประกอบของความเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่
จิตรกรรมฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
จิตรกรรมฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในบริบทของงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งถือว่าทรงเป็น “อัครศิลปิน” ทรงเป็นนักสร้างสรรค์ศิลปะหลากหลายสาขาที่มีรูปแบบงานสร้างสรรค์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นงานดนตรี วรรณกรรม และงานทัศนศิลป์ โดยเฉพาะพระอัจฉริยภาพด้านงานจิตรกรรมของพระองค์ท่าน ซึ่งมีแนวทางการแสดงออกแบบสมัยใหม่แบบตะวันตก ทั้งนี้อาจเป็นข้อสัณนิษฐานได้ว่าพระองค์ท่านทรงประสูติและทรงได้รับศึกษาจากสถาบันการศึกษาจากประเทศแถบตะวันตก จึงอาจซึมซับลักษณะของผลงานศิลปะแบบสมัยใหม่ตะวันตกที่เจริญรุ่งเรืองมากในยุคสมัยนั้น
จิตรกรรมฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีลักษณะที่โดดเด่นด้วยรูปแบบที่พัฒนาจากการวิเคราะห์ด้วยประสบการณ์ทางการเห็น การแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก และการสังเคราะห์ด้วยกระบวนคิด โดยผลงานที่ปรากฏแสดงชัดเจนถึงการคลี่คลายในเชิงรูปร่างและรูปทรงจากเหมือนจริงไปสู่ลักษณะของนามธรรมที่แสดงออกถึงสภาวะทางใจ
ผลงานจิตรกรรมของพระองค์ท่านมีรูปแบบไปในทางเดียวกันกับแนวจิตรกรรมแบบสมัยใหม่ในตะวันตกหลากหลายแนวทาง เช่น Realism, Post Impressionism, Expressionism, Cubism, Futurism และ Abstract Art

ศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์
ศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยกระบวนการแบบศิลปิน Impressionist โดยศิลปินไทยเองได้เรียนรู้กระบวนการและกลวิธีสร้างงานจิตรกรรมตามแบบศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ตะวันตกที่ศึกษาในเรื่องของทฤษฎีสี องค์ประกอบของภาพ และเนื้อหาการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเชิงสามัญวิสัย
ศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ในวงการทัศนศิลป์ไทยแม้ไม่ต่างจากการสร้างสรรค์แบบตะวันตกมากนัก กล่าวคือ การมุ่งประเด็นการศึกษาในเรื่องของสีและแสงเป็นสำคัญ แต่ด้วยลักษณะของภูมิอากาศและภูมิประเทศไทยเองที่อยู่ในแถบเขตร้อนชื้น ทำให้การปรากฏของแสงและสีมีความแตกต่างจากประเทศในแถบยุโรปเป็นอย่างมาก ผลงานที่เกิดขึ้นจึงมีรูปแบบเฉพาะตัวที่น่าสนใจ เช่น ลักษณะการตัดกันของแสงและสีที่ชัดเจนรุนแรง หรือลักษณะของสีของต้นไม้ที่เป็นสีเขียวจัดและเมื่อมีแสงแดดส่องจะเกิดประกายสีเรืองแสงที่มากกว่าประเทศในทวีปยุโรปที่มักมีหมอกผสมอยู่ในฉับพลันของสีและแสง เป็นต้น

ศิลปะแบบคิวบิสม์
ศิลปะแบบคิวบิสม์ในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยการวิเคราะห์รูปร่างรูปทรงของศิลปินตามแบบศิลปะ Cubism แล้วสังเคราะห์ออกมาเป็นผลงานที่ปรากฏเป็นเหลี่ยมมุมเพื่อแสดงการวิเคราะห์รูปร่าง รูปทรง พื้นที่ว่าง และเวลา
ทั้งนี้แม้รูปลักษณ์โดยรวมของผลงานศิลปะในแนวทางดังกล่าวจะมีการวิเคราะห์รูปร่างและรูปทรงที่ตายตัวและมุ่งไปสู่การคลี่คลายรูปลักษณ์เป็นแบบเส้นและเหลี่ยมมุมก็ตาม แต่ศิลปินไทยได้นำเอามาพัฒนาจรชนเกิดเป็นรูปแบบเฉพาะตัวที่แตกต่างจากศิลปะสมัยใหม่ตะวันตก โดยลักษณะเด่นคือการนำลักษณะของความเป็นไทยเข้ามาใช้ในผลงานบ้าง ซึ่งถือเป็นการนำเอาเนื้อหาใกล้ตัวของศิลปินมาจัดการภายใต้กฏเกณฑ์ของการคลี่คลายรูปลักษณ์
แม้ความมุ่งหมายขั้นสูงสุดของศิลปะคิวบิสม์ในตะวันตกคือการวิเคราะห์ไปในด้านของพื้นที่ว่างและเวลาของวัตถุอันนำไปสู่การจัดการกับวัตถุที่เป็นต้นแบบของศิลปิน หากแต่สำหรับบริบทของทัศนศิลป์ไทย ศิลปินกลับมุ่งไปที่การคลี่คลายในเชิงรูปแบบและองค์ประกอบของภาพมากกว่าเพื่อนำไปสู่ความลงตัวของภาพที่ปรากฏและประสบการณ์เชิงสุนทรียะแบบใหม่ที่แตกต่างจากศิลปะแบบประเพณี



ศิลปะแบบสำแดงอารมณ์
ศิลปะแบบสำแดงอารมณ์ในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของศิลปินไทยผ่านผลงานศิลปะที่เน้นไปที่การแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกคล้ายการทำงานศิลปะของศิลปินกลุ่ม Expressionism
ลักษณะทางกายภาพของผลงานศิลปะแบบสำแดงอารมณ์ คือ ร่องรอยของการกระทำของศิลปินที่ทิ้งไว้บนผลงานโดยปรากฏในเชิงกายภาพที่เด่นชัดอันเกิดจากการท่าทีที่ผสานกันระหว่างร่างกายกับสภาวะความรู้สึกของศิลปิน โดยเฉพาะลักษณะของฝีแปรงในงานจิตรกรรมประเภทนี้จะมีการปรากฏตัวของร่องรอยที่หยาบกระด้างและไม่เกลี่ยเรียบจนเกิดเป็นพื้นผิวที่เด่นชัด ภาพผลงานจิตรกรรมจะเป็นไปในเชิงที่ไม่เหมือนจริงแบบอุดมคติและเน้นไปที่คุณลักษระของเส้น สี ร่องรอย ฝีแปรง และพื้นผิวที่ปรากฏชัด
ศิลปะแบบสำแดงอารมณ์อาจคลี่คลายรูปร่างรูปทรงไปสู่ภาพลักษรที่ง่ายต่อการสื่อความหมาย และเน้นไปที่คุณลักษณะของฝีแปรงหรือพื้นผิว เพื่อให้ผุ้ดูได้เห็นถึงสภาวะอังหลงเหลือจากการแสดงออกเชิงความรู้สึกของศิลปินที่ทิ้งไว้บนผืนผ้าใบในจิตรกรรมหรือร่องรอยพื้นผิวในงานประติมากรรม

ศิลปะนามธรรม
ศิลปะนามธรรมในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยการคลี่คลายรูปร่างและรูปทรงไปสู่รูปลักษณ์อันบริสุทธิ์ แสดงถึงความงามของทัศนธาตุ (Visual Element) คล้ายกับรูปแบบศิลปะแบบ Abstract, Abstract Expressionism (Action Painting และ Color field Painting) และ Minimalism
แม้งานศิลปะแบบ Abstract, Abstract Expressionism (Action Painting และ Color field Painting) และ Minimalism ในประเทศตะวันตกจะมีความเคลื่อนไหวที่โดดเด่นและมีเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงสู่การเปิดประตูของแนวทางการสร้างสรรค์ใหม่ๆ และยังได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนกลายเป็นกระแสสากลก็ตาม แต่ในบริบทของทัศนศิลป์ไทยที่เรียกว่างานประเภทนามธรรมนั้น กลับถูกนำมาใช้อย่างประยุกต์ได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นกระแสความเคลื่อนไหวทางศิลปะที่เข้มแข็งในช่วงทศวรรษ พ.ศ.2510-2530 โดยศิลปินไทยมักหยิบยกเนื้อหาเฉพาะตัวและบริบทของความเป็นไทยมาใช้ในการสื่อถึงเนื้อเรื่องบางอย่าง เช่น สังคม การเมือง ความเชื่อ ศาสนา และปรัชญาตะวันออก ทั้งนี้ผลงานนามธรรมในงานทัศนศิลป์ไทยแพร่กระจายออกในวงกว้างและครอบคลุมรูปแบบของการสร้างสรรค์หลากหลายเทคนิค อาทิ จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ศิลปะไทยสมัยใหม่ และศิลปะสื่อผสม

ศิลปะเพื่อชีวิต
ศิลปะเพื่อชีวิตในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นโดยมีแนวคิดในเรื่องของศิลปะประท้วง การสะท้อนสังคม วิพากษ์การเมือง ระบบเศรษฐกิจ และโครงสร้างทางชนชั้นในสังคม โดยผลงานศิลปะเพื่อชีวิตในไทยนี้มีแนวคิดที่เชื่อมโยงไปทางมาร์กซิสม์ (Marxism) และสังคมนิยม (Socialism) ที่เป็นกระแสของความคิดทางการเมืองที่เด่นชัดให้ในช่วงทศวรรษที่ พ.ศ.2510-2530
ผลงานศิลปะเพื่อชีวิตได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาจากหนังสือเรื่อง “ศิลปะคืออะไร” โดยนักเขียนระดับโลกอย่าง Leo Tolstoy และ หนังสือ “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” ที่เขียนโดยปัญญาชนหัวก้าวหน้าอย่าง จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งเป็นหนังสือสองเล่มสำคัญที่มีส่วนผลักดันให้ศิลปินรุ่นใหม่ในช่วงเวลานั้นสนใจแนวทงการแสดงออกเชิงสุนทรียะที่มีท่าทีในการรับผิดชอบต่อสังคมและการเมือง
ศิลปะเพื่อชีวิตมีเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงความเคลื่อนไหวทางการเมืองในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และเป็นที่เฟื่องฟูมากขึ้นในทศวรรษต่อมา แม้เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จะเป็นฉนวนสำคัญที่ให้ปัญญาชนหัวก้าวหน้าเข้าป่าเพื่อต่อสู้ทางการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ตาม แต่ศิลปะเพื่อชีวิตยังคงดำเนินต่อไปโดยประยุกต์เนื้อหาของผลงานไปวิจารณ์ไปที่โครงสร้างทางสังคมและการคอรัปชั่นมากกกว่าจะวิพากษ์ทางการเมืองและปัญหาชนชั้นตามแบบลัทธิมาร์กที่นิยมมาในยุคก่อนเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ผลงานศิลปะเพื่อชีวิตในวงการทัศนศิลป์ไทยมิได้ยึดติดในรูปแบบของการแสดงออก แต่เน้นไปที่การวิพากษ์วิจารณ์สังคมในแง่มุมต่างๆ และสะท้อนเรื่องราวของการปฏิวัติโดยประชาชนโดยมีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป้นอุดมคติขิงความสำเร็จ ซึ่งผลงานศิลปะเพื่อชีวิตนี้คล้ายกับผลงานศิลปะสมัยใหม่ตะวันตกอยู่หลายแนวทาง เช่น Realism, Surrealism และ Social Realism

ศิลปะเหนือจริง
ศิลปะเหนือจริงในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นโดยมีรูปแบบตามจินตนาการของศิลปิน คล้ายกับการคลี่คลายรูปลักษณ์และการแสดงออกของผลงานศิลปะ Surrealism ในตะวันตก ซึ่งศิลปินไทยมักนำเอาบริบทของสังคมและความเป็นไทยมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์
ศิลปะเหนือจริงในทัศนศิลป์ไทยมีความแตกต่างจากศิลปะแบบ Surrealism ของตะวันตกอยู่ไม่น้อย เพราะศิลปะแบบ Surrealism มีเนื้อหาของการต่อต้านสงคราม การนำหลักจิตวิเคราะห์มาใช้ในกระบวนความคิดในการสร้างสรรค์ หรือการใช้จิตอันฉับพลันในการก่อร่างสร้างรูปลักษณ์ของภาพ (Automatic Drawing) ในขณะที่ศิลปะเหนือจริงในทัศนศิลป์ไทยเป็นการจัดการรูปลักษณ์ของงานศิลปะเพื่อแสดงถึงความแปลกประหลาดและการประกอบสร้างของสัญญะที่มากกว่าหนึ่งตัวและนำไปสู่เนื้อหาสาระที่มีความหมายเป็นอื่นมากกว่าความหมายตรงจากสิ่งที่ปรากฏ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผลงานที่สร้างขึ้นด้วยการคลี่คลายผสานกับจินตนาการส่วนตัวเพื่อให้เกิดภาพลักษณ์หรือความหมายที่เกินกว่ารูปสัญญะที่ปรากฏ เป็นผลงานที่สื่อความหมายแฝงที่อยู่ภายใต้ภาพของความผิดปรกติ
ลักษณะศิลปะเหนือจริงในทัศนศิลป์ไทยมีรูปแบบและเทคนิคที่หลากหลาย และศิลปินมีอิสรภาพในการสร้างสรรค์และนำเสนอ โดยศิลปินหลายคนมักนำเอาบริบทของความเป็นไทยและเนื้อหาทางศาสนามาผสมผสานกับเนื้อหาของสังคมร่วมสมัยมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์


ศิลปะไทยสมัยใหม่
ศิลปะไทยสมัยใหม่ในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นโดยนำรูปแบบหรือเทคนิคหรือเนื้อหาที่เป็นแบบไทยตามประเพณีนิยมหรือลักษณะของสังคมร่วมสมัยมาพัฒนาสู่รูปลักษณ์ศิลปะไทยในรูปแบบที่ต่างจากแบบประเพณีเดิม ศิลปินใช้ทัศนคติส่วนตัวไปใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ โดยลักษณะส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตไทย ปรัชญาตะวันออก สถาบันหลักของชาติ และคติทางศาสนา
ทั้งนี้แม้งานศิลปะแบบไทยจะมีข้อจำกัดในการแสดงออกเชิงสุนทรียะที่ตายตัวและมีแบบแผนอย่างเด่นชัดมาเป้นระยะเวลานานก็ตาม หากแต่ศิลปินในยุคสสมัยปัจจุบันได้นำความรู้ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติจากศิลปะตะวันตกมาผสานเข้ากับเนื้อหาของแรงบันดาลใจเพื่อให้เข้าไปอยุ่ในชุดวามคิดที่เป็นแบบร่วมสมัย จากนั้นจึงนำมาสังเคราะห์จนเกิดเป็นผลงานศิลปะที่มีแนวทางโดดเด่นเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
ศิลปินในปัจจุบันที่สร้างสรรค์ผลงานในแนวศิลปะไทยสมัยใหม่มีวิถีการสร้างสรรค์และการแสดงออกที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องด้วยศิลปะแบบประเพณีเดิมมีขึ้นภายใต้ร่มเงาของการรับใช้ศาสนาและชนชั้นสูง เพราะฉะนั้นผลงานจึงปรากฏอยู่ในเขตของวัดและวังเท่านั้น หากแต่สภาวะของความเป็นสมัยใหม่ที่กรอบความคิดทางสังคมและการเมืองการปกครองที่เปลี่ยนไป ทำให้ศิลปินไทยที่สร้างสรรค์ผลงานในแนวนี้สร้างสรรค์ผลงานเพื่อสื่อสารกับสาธารณชนในบริบทของความเป็นศิลปะแบบปัจเจกมากขึ้น ผลงานที่ปรากฏจึงมีความหลากหลายมากขึ้นกว่าเดิมมาก โดยมีการแสดงออกด้วยรูปแบบต่างๆ คล้ายศิลปะตะวันตก เช่น ลักษณะของแสง-เงา หลักทัศนียวิทยา สีในงานจิตรกรรม รูปร่างรูปทรง การใช้สัญลักษณ์ และรวมไปถึงการใช้สื่อและวัสดุที่หลากหลายมาประกอบเข้าเป็นผลงานมากขึ้น

ศิลปะเฉลิมพระเกียรติ
ศิลปะเฉลิมพระเกียรติในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นโดยมีเนื้อหาในการเฉลิมพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในด้านของพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณด้านต่างๆ ของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งรูปแบบผลงานมักจะอยู่ในรูปแบบเหมือนจริง ศิลปะไทยสมัยใหม่ และแนวสัญลักษณ์นิยม โดยผลงานจะต้องสื่อถึงเนื้อหาที่ดีเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
ศิลปะเฉลิมพระเกียรติมีเนื้อหาสำหรับสื่อความหมายที่ชัดเจน กล่าวคือ เป็นเนื้อหาที่ดี มีทัศนคติที่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยรูปแบบของผลงานมีความหลากหลายแนวทางเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการแสดงออกในทางศิลปะตามแต่ความชำนาญของศิลปินแต่ละคน แต่ลักษณะโดยส่วนใหญ่แล้ว ผลงานประเภทนี้มักมีรูปแบบคล้ายศิลปะ Realism, Social Realism และ Symbolism

ศิลปะแนววิพากษ์สะท้อนสังคมร่วมสมัย
ศิลปะแนววิพากษ์สะท้อนสังคมร่วมสมัยในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นโดยมีเนื้อหาศิลปะที่สะท้อนและหรือวิพากษ์วิจารณ์สังคมร่วมสมัย โดยเนื้อหาอาจจะนำเสนอในด้านบวกหรือด้านลบของศิลปินที่มีต่อสภาพสังคมร่วมสมัยอย่างไรก็ได้
ลักษณะเด่นของศิลปะแนววิพากษ์สะท้อนสังคมร่วมสมัย คือ ศิลปินมีโอกาสในการแสดงออกได้อย่างหลากหลายและอิสระ ศิลปินนำแรงบันดาลใจที่เกิดจากการสัมผัสแง่มุมต่างๆ ในชีวิตประจำวันหรือข้อมูลแบบทุติยภูมิจากสื่อต่างๆ มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ออกมาเป็นผลงานศิลปะที่มีรูปแบบที่หลากหลายไม่กำหนดแนวทาง
ผลงานในแนวทางแบบนี้ถือว่ามีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะศิลปะสามารถที่จะแสดงออกทัศนคติของตนเองออกมาเป็นผลงานศิลปะได้อย่างไม่มีข้อกำหนด ศิลปินสามารถแสดงออกอย่างมีนัยยะหรือตรงไปตรงมาได้อย่างอิสระ โดยที่สาธารณชนผู้ดูสามารถนำสาระของผลงานศิลปะไปประยุกต์สู่กระบวนคิดต่างๆ ได้
ศิลปะแนววิพากษ์สะท้อนสังคมร่วมสมัยนี้ มีรูปแบบศิลปะที่คล้ายกับหลากหลายแนวทางการสร้างสรรค์ในแบบศิลปะสมัยใหม่ในตะวันตก เช่น Realism, Post Impressionism, Expressionism, Pop Art, Performance Art, Conceptual เป็นต้น

ศิลปะสื่อผสมและอินสตอลเลชั่น
ศิลปะสื่อผสมและอินสตอลเลชั่นในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นโดยด้วยกระบวนวิธีและมีการแสดงออกทางศิลปะแบบ Mixed Media ที่มีการเน้นไปที่การจัดการของวัตถุที่แปรสภาพมาเป็นสื่อ 2 ชนิดเป็นต้นไป มาประกอบสร้างขึ้นจนเกิดเป็ผลงานขึ้น และ Installation Art ที่เป็นผลงานศิลปะที่จัดการภายใต้บริบทของพื้นที่ทางศิลปะในรูปแบบที่หลากหลาย
ศิลปะสื่อผสมและอินสตอลเลชั่นในงานทัศนศิลป์ไทยมีแนวทางการจัดการเพื่อให้เกิดความเป็นศิลปะคล้ายกับงาน Mixed Media และ Installation Art มาก ทั้งนี้เพราะแนวทางศิลปะทั้งสองแนวทางนั้นเป็นความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะสากลนับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1980s จวบจนถึงปัจจุบัน อันถือเป็นแนวทางการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยที่โดดเด่นมากในระดับนานาชาติ
สำหรับในด้านของศิลปินไทยที่สร้างสรรค์ผลงานในแนวทางศิลปะสื่อผสมและอินสตอลเลชั่นนั้น มีรูปแบบการแสดงออกที่หลากหลายมาก ศิลปินนำเอาบริบทของความเป้นไทยในด้านต่างๆ อาทิ วัฒนธรรม การเมือง สังคม ศาสนา เป็นต้น มาเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นแนวคิดเพื่อนำไปสู่การแสดงออกทางศิลปะในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งไม่เพียงแต่ศิลปินไทยเองที่ได้ทดลองแนวทางการแสดงออกในเชิงสุนทียะเท่านั้น หากแต่สาธารณชนในฐานะผู้ดูงานศิลปะเองก็ได้สัมผัสผลงานศิลปะในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิมอีกด้วย

ศิลปะสื่อใหม่
ศิลปะสื่อใหม่ในบริบทของสภาวะสมัยใหม่ในงานทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างขึ้นโดยด้วยกระบวนวิธีและนำเสนอผลงานศิลปะที่หลากหลาย ซึ่งในที่นี้อาจจะไม่ได้จำกัดอยู่ในบริบทของงานศิลปะแบบ New Media Art แบบตะวันตกเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงการสร้างสรรค์งานศิลปะที่หลากหลายมากกว่านั้น อาจจะนับไปถึงงานศิลปะแบบ conceptual Art ด้วย
เพราะฉะนั้นผลงานในแบบศิลปะสื่อใหม่ในที่นี้จึงถือว่าไม่มีรูปแบบการแสดงออกทางศิลปะที่ตายตัว ศิลปินมีอิสรภาพในการนำเสนออย่างที่สุด ศิลปินมีวัตถุประสงค์สำคัญในการมุ่งเน้นไปที่กระบวนคิดรวบยอดเพื่อนนำไปสร้างสรรค์ศิลปะ ลักษณะของผลงานศิลปะที่ปรากฏจึงมีความแตกต่างหลากหลายคละเคล้ากันไปตามการแสดงออกเชิงบุคคลของศิลปิน และศิลปินเองก็มีกลวิธีการนำเสนอที่อาจจะทำให้ผู้ดูเองเกิดความฉงนสงสัย อาจนำไปสู่การตั้งคำถามในประเด็นต่างๆ ในสังคมหรือวงการศิลปะ
ศิลปะในแนวทางดังกล่าวนี้เป็นการหลอมรวมสื่อและวัสดุและแนวคิดต่างๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของการสื่อสารความหมายต่อสาธารณชนในรูปแบบที่แปลกกว่างานจิตรกรรมหรือประติมากรรมแบบที่รู้จักกันแบบเดิมๆ ซึ่งผลงานที่ปรากฏมีลักษณะโดยรวมที่คล้ายกับงานศิลปะแบบ Combine, Mixed  Media, Land Art & Environmental Art, Installation Art, Video Art, New Media Art และ Conceptual Art เป็นต้น

สรุป
          ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ผู้เขียนได้ทำการแบ่งประเภทผลงานทัศนศิลป์ไทยสมัยใหม่ขึ้นมาด้วยข้อสังเกตส่วนตัวเพื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์วิจารณ์และทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญเพื่อให้ผู้อ่านหรือแม้แต่ผู้เขียนเองได้ทบทวนสาระสำคัญโดยสังเขปเพื่อที่จะซาบซึ้งไปถึงคุณค่าของผลงาน “ทัศนศิลป์ไทยสมัยใหม่” หรืออาจจะเรียนกว่า “ศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย” หรืออาจจะเรียกว่า “ศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย” ก็สุดแท้แต่ผู้ใดจะนิยาม
            โดยผู้เขียนได้ตั้งข้อสัณนิษฐานว่า วิวัฒนาการงานทัศนศิลป์ไทยสมัยใหม่นั้น มีปัจจัยสำคัญอันเนื่องจากอิทธิพลทางศิลปะตะวันตกแบบ Modern Art ที่เป็นกระแสศิลปะอันรุนแรงในศตวรรษที่ 20 แทรกซึมเข้ามาผ่านระบบการศึกษาในสถาบันศิลปะของไทยภายใต้ร่วมเงาของโลกาภิวัฒน์อันเป็นการย่อโลกที่กว้างใหญ่ในอดีตให้เหลือเพียงการสื่อสารที่เข้าถึงทุกปัจเจกชน เค้าโครงอันสำคัญนี้เองเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานทัศนศิลป์ไทยสมัยใหม่ไปสู่กระแสของนานาชาติได้อย่างมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจและน่าศึกษาในแง่มุมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

นิทรรศการศิลปะ 2nd ฟ-FUN Art Exhibition


 นิทรรศการศิลปะ 2nd ฟ-FUN Art Exhibition 

ศิลปิน:             
นวัต เลิศแสวงกิจ
สุริยะ ฉายะเจริญ
แก้วตระการ จุลบล
ไกรสิงห์ สุดสงวน
ธิตินาถ จันทร
ธนาเทพ พรหมสุข
พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ
เพียงขวัญ คำหรุ่น
ภาณุพงค์ อ่อนรักษ์
มาดี พัฒนศรี
วรงค์ ราชปรีชา
วรัญญา พุกผาสุข
วิสิทธิ์ เตชสิริโกศล

พิธีเปิด:             วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม 2559 เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป
จัดแสดง:           ตั้งแต่วันที่ 8-30 ตุลาคม 2559
ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. - 20.00 น. 
สถานที่:             ห้องแสดงภาพ ชั้น 2 ศูนย์การค้าริเวอร์ ซิตี้ (River City Bangkok Shopping Center)
ติดต่อ:              090-986-9937, 086-830-5768
                        https://www.facebook.com/events/205524763199019/

นิทรรศการศิลปะ 2nd ฟ-FUN Art Exhibition เป็นการรวมกลุ่มกันอีกครั้งในการนำผลงานสร้างสรรค์ที่ศิลปินแต่ละคนล้วนสร้างขึ้นในบริบทส่วนตัว ในครั้งนี้นอกจากสมาชิกศิลปินจากกลุ่ม ฟ-FUN แล้วยังมีศิลปินรับเชิญอีกหลายคนที่มีแนวทางการสร้างสรรค์ที่หลากหลาย เพราะฉะนั้นนิทรรศการครั้งนี้จึงเป็นการรวมตัวกันในรอบสองปีของกลุ่ม ฟ-FUN ที่นำเสนอประเด็นที่หลากหหลายทั้งทางสุนทรียภาพส่วนบุคคลและประเด็นความคิดที่สะท้อนความเป็นไปของยุคสมัยที่มีบริบทของศิลปินแต่ละคนเป็นประดุจข้อมูลชุดสำคัญที่จะนำเสนอเรื่องราวต่างๆ สู่สังคมด้วยประสบการทางสายตา

2nd ฟ-FUN Art Exhibition 
Artist:             
Kaewtrakan Junlabon
Kraising Sudsa-nguan
Madee Pattanasri
Nawat Lertsawaengkit
Panupong Onrak
Piangkhwuan Kumrune
Pisit Tangpondparser
Suriya Chayacharoen
Thanathep Promsuk
Thitinart  Charntorn
Waranya Pukphasuk
Warong Rachapreecha
Wisit Techasirikosol
Opening: 06:30 pm, 8 October 2016
Exhibition: 8 -30 October 2016 (Everyday)
At 2nd floor, River City Bangkok Shopping Center, Bangkok
Open:              06:30 pm, 8th October 2016
Exhibition:        8 -30 October 2016 (Everyday)
                        10.00 a.m. - 8.00 p.m.  
Place:              At 2nd floor, River City Bangkok Shopping Center, Bangkok
Contract:         090-986-9937, 086-830-5768
                                https://www.facebook.com/events/205524763199019/


 จิตรกรรมของ สุริยะ ฉายะเจริญ

 ศิลปะเอ็กเพรสชั่นเพ้นติ้งโดย มาดี พัฒนศรี

ศิลปะแนวความคิดของ นวัต เลิศแสวงกิจ

 วาดเส้นของ เพียงขวัญ คำหรุ่น

 ดิจิทัลอาร์ตของ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

จิตรกรรมของ ภาณุพงค์ อ่อนรักษ์

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

จิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็ค: โลกอัตวิสัยของจิตรกร: โลกจิตรกรรมของสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์

โดย: สุริยะ ฉายะเจริญ (อาจารย์ประจำภาควิชาสื่อดิจิทัล คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม)


ศิลปะแบบแอ็บสแตร็ค (Abstract Art) เป็นงานศิลปะที่ตัดสินคุณค่าในการเล่าเรื่อง (narrative) ได้ยากยิ่ง คุณลักษณะของผลงานศิลปะประเภทนี้มักเป็นความพอดีในการแสดงออกของศิลปินในชุดรหัสเชิงสุนทรียะ (aesthetic code)ที่มีสัญญะ (sign) อันเป็นอัตวิสัย (subjective) เป็นส่วนใหญ่ หากแต่เมื่อเลือกในกรณีของงานจิตรกรรมประเภทนี้แล้วก็ย่อมต้องกล่าวเพิ่มเติมไปว่าทัศนธาตุ (visual element) ที่ปรากฏในผลงานล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การไขความลับของความงามที่อยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ผู้ดูอาจงุนงงสงสัยมากกว่าความเข้าใจที่กระจ่างชัด
งานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็ค (Abstract Painting) หรือเรียกว่าจิตรกรรมนามธรรมถือเป็นแนวทางศิลปะที่สำคัญในศตวรรษมี่ 20 โดยเจริญถึงขีดสุดในฐานะของความเป็นตัวแทนยุคสมัยใหม่ (Modernity) ที่ปักหมุด ณ สหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อศิลปะแนวแอ็บสแตร็คเอ็กเพรสชั่นนิสม์ (Abstract Expressionism) หรือจิตรกรรมนามธรรมสำแดงอารมณ์ คัลเลอร์ฟิลด์เพ้นติ้ง (Color Field Painting) หรือจิตรกรรมสนามสี และฮาร์ดเอ็จเพ้นติ้ง (Hard-Edge Painting) หรือจิตรกรรมขอบคม ซึ่งการเจริญเติบโตของศิลปะในแนวทางที่เป็นทำนองแบบนามธรรมนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยอันหลากหลาย โดยประการสำคัญคือการที่งานจิตรกรรมก้าวไปสู่จุดสูงสุดของรูปธรรมที่ไม่สามารถนำพาสังคมแบบสมัยใหม่ไปสู่ความกระจ่างชัด ในขณะที่ภาวะของความเป็นปัจเจก (individual) ของศิลปินที่เติบโตขึ้นในศตวรรษที่ 20 ได้นำพาให้พวกเขาละทิ้งการสื่อความหมายของรูปลักษณ์สามัญและละทิ้งการแทนความหมายใดๆ ไปสู่ความงามอันแท้จริงของส่วนย่อยที่สุดในงานจิตรกรรม นั่นคือทัศนธาตุ  (visual element) หรือธาตุที่ปรากฏขึ้นเป็นภาพที่สัมผัสด้วยการมองเห็น เพื่อให้แสดงให้เห็นถึงความจริงแท้ที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยรูปแทนความ (visual representation) ที่ปรากฏเป็นภาพ หรืออาจจะกล่าวว่า “รูปที่ไม่แทนความหมายใดๆ มันย่อมแทนความหมายของตัวมันเองและนั่นคือความบริสุทธิ์ขั้นสูงในฐานะของงานจิตรกรรม”
ลักษณะที่สำคัญของจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็ค คือ การนำเสนอรูปลักษณ์ของทัศนธาตุที่เกิดจากการกระทำบางอย่างของศิลปินที่กระทำบนพื้นที่ว่างที่เตรียมไว้เพื่อเป็นพื้นที่แสดงออกของตัวเอง ร่องรอยที่ปรากฏอันเกิดจากการระบาย ปาด ป้าย หยด หยอด สะบัด สลัด หรือกระทำการใดๆ ด้วยสีหรือวัตถุดิบต่างๆ เพื่อให้ปรากฏรูปลักษณ์ของร่องรอยบางอย่างบนพื้นที่ว่าง ซึ่งศิลปินเองก็มีเจตจำนงที่จะกระทำการสิ่งนั้นๆ ด้วยเจตนาอย่างเด่นชัดหาได้เป็นความบังเอิญไม่ ภาพที่ปรากฏขึ้นอาจไม่แสดงความหมายใดๆ เลย และอาจจะไม่แทนค่าความหมายของวัตถุใดๆ ที่สัมผัสได้ในโลกแห่งความเป็นจริงด้วยตาได้ แต่เป็นภาพจิตรกรรมที่มีเจตจำนงที่จะการสื่อแทนความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่ศิลปินต้องการอรรถาธิบายต่อผู้ดูโดยไม่จำเป็นต้องบรรยายเชิงถ้อยคำมากกว่าแสดงด้วยภาพ ซึ่งนั่นอาจนำมาซึ่งปัญหาการเข้าถึงคุณค่าเชิงสุนทรียะที่อาจเป็นการตั้งคำถามต่อผลงานชิ้นนั้นๆ ว่า “อะไรคือมาตรฐานที่จะวัดคุณค่าของผลงานเช่นนี้ได้”
ความเข้าใจในคุณค่าของจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คถือเป็นที่สิ่งเต็มไปด้วยความลึกลับที่ปราศจากการค้นพบด้วยวัตถุวิสัย (objectivity) การอธิบายจิตรกรรมประเภทนี้ไม่เพียงทำให้ผู้ชมเกิดความไม่ลงรอยระหว่างภาพ (image) กับคำ (word) ทั้งนี้เพราะจินตภาพของศิลปินที่เกิดขึ้นในญาณปัญญาของตัวเองนั้นมีความเฉพาะตัวจนไม่อาจอธิบายเป็นถ้อยความได้ดีไปกว่าการแสดงออกมาผ่านงานศิลปะ หากแต่งานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คเป็นศิลปะเชิงอัตวิสัย ผู้ดูหรือผู้รับสารสามารถตีความได้อย่างหลากหลายมากกว่าเจาะจงความหมายที่ถูกตีกรอบโดยศิลปินในฐานะของผู้สร้างสาร (message) เพราะฉะนั้นผู้ดูจึงสามารถสถาปนาความหมายของตนเองได้อย่างเสรีโดยสามารถคิดหรือจินตนาการเกินกว่าที่ศิลปินถ่ายทอดออกมาได้ ผู้ดูไม่เพียงเป็นผู้แสวงหาความหมายและรับรสทางสุนทรียะโดยปราศจากกรงขังในนามของการตีความหมายเท่านั้น หากแต่ศิลปินผู้รังสรรค์ผลงานชิ้นนั้นๆ เองก็มิอาจมีสิทธิ์ในการชี้ชัดถึงความชัดเจนของผลงานมากกว่าการอธิบายอย่างสังเขปเพื่อเป็นดุจป้ายบอกทางแก่ผู้ดู เพราะหากศิลปินเป็นผู้อธิบายความหมายต่างๆ ในผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คนี้แล้ว การชื่นชมผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คที่เป็นเชิงอัตวสัยก็ย่อมเสียอรรถรสที่วิเศษสุดไปเสียหมดสิ้น
ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ข้างต้น ก็เพื่อให้เห็นลักษณะและความเคลื่อนไหวโดยรวมของงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คเพื่อสามารถที่จะวิเคราะห์ผลงานจิตรกรรมของสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ ผู้ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานในแบบนามธรรมหรือจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คมาโดยตลอดหลายสิบปี ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดย่อมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบดังกล่าวโดยมิได้พึ่งพิงความนิยมของยุคสมัย ผลงานสร้างสรรค์ของสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์  จึงย่อมแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญทางจิตรกรรมแบบเฉพาะในระดับปรีชาญาณที่มีความโดดเด่นไม่น้อยหน้าศิลปินไทยแนวจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คคนอื่นๆ ที่ปรากฏในรอบสามสิบกว่าปี


ผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คของสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ในนิทรรศการเดี่ยว "Works on Paper & Watercolours" ณ หอศิลปวังที่จัดแสดงขึ้นระหว่างวันที่ 8 กรกฏาคม - 7 สิงหาคม 2559 นี้ ศิลปินได้นำผลงานจิตรกรรมที่สร้างสรรค์บนกระดาษขนาดต่างๆ นำมาจัดแสดงสู่สาธารณะ โดยมีรูปแบบทั้งนามธรรมและ กึ่งนามธรรมปะปนกัน โดยผู้ดูสามารถที่จะทำความเข้าใจภาพรวมของผลงานทั้งหมดได้อย่างไม่ยากเท่าใดนัก ทั้งนี้ภาพนิทรรศการยังมีภาพสีน้ำบนกระดาษที่นำเนื้อหาที่ได้แรงบันดาลใจจากทิวทัศน์มานำเสนอควบคู่ไปกับผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คด้วย ซึ่งนิทรรศการครั้งนี้ทำให้ผู้ดูเองพอจะเห็นภาพรวมได้ว่า แรงบันดาลใจสำคัญของศิลปินนั้นก็คือสีสันที่เกิดขึ้นในทิวทัศน์ทางธรรมชาติ ศิลปินเลือกเอาทิวทัศน์ธรรมชาติมาวิเคราะห์ด้วยกระบวนวิธีคิดแบบคลี่คลายรูปร่าง (shape) รูปทรง (form) ทางธรรมชาติโดยลดทอนไปจนถึงรูปลักษณ์ขั้นปฐมภูมิของทัศนธาตุ จากนั้นจึงสังเคราะห์โดยนำทัศนธาตุที่สังเคราะห์ออกมานั้นมาเรียงร้อยขึ้นใหม่เป็นผลงานจิตรกรรมขึ้น   
จิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คในชุดนี้ของสมศักดิ์ได้รับแรงบันดาลใจจาธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของทิวทัศน์และนำไปสู่การคิดค้นแนวทางการนำเสนอผลงานอย่างเป็นระบบ สีสันต่างๆ ที่ปรากฏของชุดสีของแสงและสีของวัตถุนำไปสู่การแทนค่าของความหมายเชิงอัตวิสัยของศิลปินเอง เมื่อศิลปินนำแนวคิดอันเกิดจากการจัดสรรระบบของของข้อมูลที่อยู่ในมโนคติมาวิเคราะห์โดยสมบูรณ์แล้ว จึงสำแดงออกมา (expression) ด้วยทักษะและวิถีทางจิตรกรรมด้วยฝีแปรง (brush stroke) เพื่อสร้างร่องรอยของความคิดและความรู้สึกเฉพาะตัวออกมาสู่ผืนกระดาษ แม้ว่าสัญญะที่ปรากฏบนผืนภาพจะเป็นชุดสีสันอันหลกหลายภายใต้รูปลักษณ์ของรอยฝีแปรงและรูปร่างอันอิสระเสรีโดยมิอาจสื่อความหมายอย่างปรณัยได้ ผู้ดูย่อมต้องอาศัยจินตนาการของตัวเองเป็นดุจพาหนะเพื่อซึมซับและซาบซึ้งกับผลงาน เพื่อให้สามารถเข้าใจถึงรสของสุนทรียภาพของงานจิตรกรรมที่ปรากฏตรงหน้า มิเช่นนั้นผู้ดูก็จะพึงเห็นเพียงร่องรอยของสีที่ปาดป้ายอยู่บนผืนภาพที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้เท่านั้น
แม้จิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คจะดูเข้าใจยากไม่น้อยสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางศิลปะ หรือมีความเข้าใจในผลงานประเภทดังกล่าวนี้เลย แต่สำหรับผลงานจิตรกรรมของสมศักดิ์แล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ด้วยชุดสีสันที่สดใสและโปรงเบาตามสถานะของสีน้ำทำให้ผู้ดูพึงสัมผัสถึงความงดงามได้อย่างเด่นชัด แม้ผู้ดูอาจจะไม่เข้าใจถึงความหมายในเบื้องต้นก็ตาม แต่ความงามที่เกิดจากการเรียงร้อยและผสานกันของสีอันหลากหลายทำให้การจ้องมองด้วยสายตาสัมผัสกับสีที่สดสว่างจนเกิดความรู้สึกพิเศษบนสนามของมโนภาพของแต่ละคน ผู้ดูไม่เพียงต้องปลดปล่อยจินตนาการของตัวเองให้ล่องลอยไปกับร่องรอยที่ลอยละล่องอยู่บนผืนกระดาษที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หากแต่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปิดทั้งตานอกและตาใน หรือเปิดใจที่จะรับรู้ความรู้สึกบางอย่างที่งดงามอันซุกซ่อนอย่างเงียบๆ บนสีสันที่สดใสทว่าสง่างามอันอยู่ในรูปของฝีแปรงที่พลุ่งพลานแต่มั่นคงราวกับการทำสมาธิ เพราะฉะนั้น จิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คในชุดนี้ของสมศักดิ์เป็นเสมือนการเรียงร้อยไวยากรณ์ของสีของศิลปินดุจกวีกำลังจารึกพยัญชนะบนแผ่นกระดาษ ซึ่งผู้เสพศิลปะพึงจำเป็นต้องอาศัยจินตนาการและการตีความส่วนตัวเพื่อเข้าใจความงามที่จะพึงสัมผัสได้จากผลงานศิลปะที่ปรากฏตรงหน้า

แม้การทำความเข้าใจในจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คจะเป็นเรื่องที่วัดคุณค่าทางฝีมือได้ยากมาโดยตลอด แต่การปรากฏขึ้นของงานจิตรกรรมประเภทดังกล่าวนี้ ย่อมพิสูจน์ให้เห้นถึงพลังของสุนทรียรสของผลงานศิลปะที่ไม่ได้สื่อความหมายใดๆ นอกจากตัวของมันเอง คุณค่าของมันไม่ได้อ้างอิงกับการสื่อความหมายเพื่อทำความเข้าใจกับรหัสที่ปรากฏ หากแต่มันคือการที่ผู้ดูต้องใช้ตาใน (จิตใจและความคิด) เข้าไปสัมผัสและเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้รับจากผลงานศิลปะ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นแบบไหนก็ตาม แค่เป็นแบบนี้ก็ย่อมถือได้ว่าได้ก้าวเข้าสู่ความเข้าใจในงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คได้ในระดับแรกแล้ว ซึ่งสิ่งดังกล่าวนี้ผลงานจิตรกรรมแบบแอ็บสแตร็คของสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ ได้เป็นบททดสอบของผู้ดูแล้วว่า “งานศิลปะแบบแอ็บสแตร็ค (Abstract Art) ไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่คิด”